Friday, 13 July 2012

พุทธทำนายในอุรังคะทาดนิทาน


พุทธทำนายในอุรังคะทาดนิทาน
ชาวจีนสิบสองปันนาเรียกแม่น้ำโขงว่า “หลันชางเจียง” หรือแม่น้ำล้านช้าง มีนัยหมายถึงแม่น้ำที่ไหลเชี่ยวกราก ทว่าใน “นิทานอุรังคธาต” เรียกแม่น้ำนี้ว่า “ทะนะนะทีเทวา” อันหมายถึงแม่น้ำแห่งทรัพย์สินเงินทองอันเทวดาเสกสรรให้
ทรัพย์สมบัติดังกล่าว คำลาวเรียก “ของ” และเรียกทะนะนะทีเทวาว่า “แม่น้ำของ” และเพี้ยนมาเป็น “แม่น้ำโขง” ในสำเนียงคนไทยกรุงเทพฯ และ Mekong River ในภาษาอังกฤษ
หลันชางเจียง(แม่น้ำล้านช้าง) หรือแม่น้ำโขงตอนบน ภาพ โดยประสาท ตงศิริ ถ่ายจาก ระเบียงท้ายเรือเร็วปรับอากาศ “เทียนต๋า2” ซึ่งแล่นตามลำ แม่น้ำโขง จากท่าเรือเมือง เชียงรุ้งถึงท่าเรือเชียงแสน ของไทย
(ซ้าย) พระ ธาตุพนมองค์เดิม (นครพนม : ไทย) ประดิษฐานพระอุรังธาตุ (ธาตุทรวงอก) ที่ดอยกัปปนคีรี ภูกำพร้า (ขวา) พระธาตุหลวง (เวียงจันทน์ : สปป.ลาว) ดอนคอนพะเนา ภูเขาหลวง หนองคันแทเสื้อน้ำ
ผม จะลองสังเคราะห์กำเนิดภูมิประเทศ แม่น้ำลำคลอง ภูเขาเลากา สภาพบ้านเมืองและการลงหลักปักฐานลัทธิความเชื่อในพระพุทธศาสนา จากนิทานอุรังคธาตุ วรรณกรรมโบราณแห่งลุ่มแม่น้ำโขง พอเป็นสังเขปดังต่อไปนี้
แม่น้ำอู
แม่น้ำปิง : พินทะโยวัตตีนาค ขุดเป็นแม่น้ำไปเมืองเชียงใหม่ ชื่อแม่น้ำพิน หรือ พิงค์ และใส่ชื่อเมืองนั้นว่า โยนาควัตตีนคร หรือโยนกนาควัตตี หรือพิงคนครเชียงใหม่ ในเวลาต่อมา
“...ส่วน ว่าน้ำหนองแสนั้น สัตว์ทั้งหลาย มีแข่ เหี่ย เต่า และแลนก็ล้มตายเป็นอันมาก พวกผีทั้งหลายเห็นก็พากันไปเอามาซุมกันกิน เวลานั้นนาคทั้งหลาย คือสุวันนะนาค กุทโธปาปนาค ปัพพารนาค สุกขหัตถีนาค สีสัตตนาค และถหัตถีนาค เป็นต้น ตลอดนาคทั้งหลายผู้เป็นบริวารที่อยู่ในหนองแสบ่สามารถอาศัยอยู่ได้
แม่น้ำงึม : “...แต่ นั้นมานาคทั้งหลายมักใคร่อยู่บ่อนใดก็อยู่บ่ได้แล เงือก งูทั้ง หลายอันเป็นบริวารก็ไปนำทุกแห่ง ส่วนปัพพาสนาค (ปัพพารนาค) ก็ควัดไปอาศัยอยู่ภูเขาหลวง พญานาค พญางู โตบ่อยากอยู่ดอมนาคทั้งหลาย จึงควัดออกเป็นแม่น้ำสายหนึ่ง เอิ้นว่าแม่น้ำเงือกงู ภายลุนมาจึงเอิ้นว่าแม่น้ำงึมเท่าทุกวันนี้แล...”หลี่ผี : “...ส่วนสุกขรนาคและหัตถีนาคอาศัยอยู่เวินสุก ส่วนว่าทะนะมุนละนาค ผู้อาศัยอยู่เมืองศรีโคตบองก็ควัดฮ่องจากนั้นลงไปฮอดเมืองอินทะปัตถะนคร จนฮอดแม่น้ำสมุทร ฮ่องนี้เอิ้นว่าน้ำหลี่ผีนั้นแล...”แม่น้ำมูน : “แม่ น้ำที่เป็นบ่อนอยู่ของทะนะมุนละนาคนั้นก็ไหลท่วมเป็นแกว่ง ดังนั้นทะนะมุนละนาคจึงควัดให้เป็นฮ่องฮอดเมืองกุลุนทนคร ฮ่องน้ำนี้มีชื่อว่า มุนละนที ตามชื่อพญานาคโตนั้นแล”
แม่น้ำซี : “ส่วน ซีวายนาค ก็ควัดแต่แม่น้ำมูนจนฮอดเมืองพญาสุรอุทกะผู้ปกครองหนองหานหลวง พร้อมทั้งเมืองใหญ่น้อยเขตนครนั้น และตลอดฮอดเมืองหนองหานน้อย ตราบเท่าฮอดเมืองกุลุนทนคร แต่นั้นมาน้ำนั้นจึงมีชื่อว่าซีวายนทีตามชื่อนาคโตนั้น...”
เรื่องราวที่หยิบยกมานี้เป็นส่วนหนึ่งในบั้นที่ 1 ของนิทานอุรังคธาตุ เพื่อนำเสนอภาพลักษณ์ทางภูมิศาสตร์ลุ่มแม่น้ำโขงในวรรณกรรมโบราณ
ทีนี้ลองมาดูเรื่องราวที่เกี่ยวเนื่องกับพระพุทธศาสนาในลุ่มแม่น้ำโขงจากวรรณกรรมโบราณเรื่องนี้ในบั้นที่ 2 “บั้นอุรังคะทาดนิทาน”
“...เมื่อ พระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ และได้เสด็จประทับอยู่ในวัดเชตวัน เมื่อ เวลาใกล้รุ่ง พระอานนท์เถระเจ้าผู้เป็นอุปัฏฐากได้จัดแจงไม้สีฟันและน้ำส่วยหน้า (น้ำล้าง หน้า) ถวายแก่พระพุทธเจ้า เมื่อพระพุทธเจ้าทรงชำระเรียบร้อยแล้ว ทรงหลิง (รำลึก) เห็นพระพุทธเจ้า 3 พระองค์ที่ผ่านมาในอดีต พระพุทธเจ้าทั้ง 3 พระองค์นั้นยังได้ก่อธาตุไว้ในดอยกัปปันนคีรี (หมายถึงภูกำพร้า) อยู่ใกล้เมืองศรีโคตบอง (หมายถึงเมืองนครพนม) นั้น เมื่อหลิงเห็นอย่างนั้นแล้ว พระพุทธเจ้าก็ทรงผ้ากำพลสีแดง ซึ่งนางโคตมีได้ถวายเป็นทาน ผ้ากำพลผืนนี้มีประวัติเล่าไว้ว่า นางโคตมีเมื่อจะปลูกฝ้ายนางได้เอาคำ (ทองคำ) มาทำอ่าง (กระถางปลูก) แล้วจึงเอาแก่นจันทน์แดงพร้อมทั้งคันธรสทั้งมวล แล้วเอาคำเป็นฝุ่น (เอาทองคำเป็นปุ๋ย) ใส่ลงในอ่างคำ (กระถางทองคำ) นั้น ครั้นแล้วจึงเอาฝ้ายมาปลูกลงที่นั้น เหตุนั้นดอกฝ้ายจึงแดงดั่งแสงสุริยะกำลังขึ้น (เหนือขอบฟ้า)(แลนเป็นสัตว์เลื้อยคลาน ชนิดครึ่งบกครึ่งน้ำ อย่างตะกวด แลนคำคือแลนที่มีเกล็ดทองคำ)
เมื่อ พระพุทธเจ้าทรงผ้าแล้วจึงทรงบาตรผินหน้าไปทางทิศตะวันออก พระอานนท์เถระเจ้าผู้เป็นปัจฉาสมณะลีลานำทาง (เสด็จตาม)อากาศ และได้เสด็จมาประทับที่ดอนคอนพะเนานั้นก่อน จึงมาประทับที่หนองคันแทเสื้อน้ำ
ขณะนั้นพระพุทธเจ้าได้ทรงหลิงเห็นแลนคำ
บ้าน เมืองจักย้ายที่อยู่อาศัยเปลี่ยนแปลงไปมาเป็นหลายชื่อหลายเสียงแล... เหตุว่า พระตถาคตเห็นแลนแลบลิ้นสองแง่ม (แฉก) เป็นนิมิตรแล หากเมื่อใด หากท้าวพญาองค์ เป็นหน่อพุทธังกูรได้มาเสวยราชบ้านเมือง พระพุทธศาสนาของพระตถาคตก็จักรุ่งเรือง เหมือนดังพระตถาคตยังทรงพระชนม์อยู่นั้นแล...”
ตัวหนึ่งแลบลิ้นอยู่ที่โพนจิกเวียงงัว ใต้ปากห้วยคุก เมื่อทรงเห็นดังนั้นแล้วพระพุทธองค์ก็ทรงทำอาการแย้มหัวให้เห็นเป็นนิมิตร พระอานนท์เถระเจ้าเมื่อเห็นดังนั้นจึงทูลถามหาเหตุแย้มหัว พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า ดูราอานนท์ พระตถาคตเห็นแลนคำตัวหนึ่งแลบลิ้นให้เป็นเหตุแล แล้วพระพุทธเจ้าจึงทรงตรัสไว้ว่า เมืองสุวรรณภูมินั้นเป็นที่อยู่ของนาคทั้งหลาย มีสุวรรณนาคเป็นเค้า (เป็นต้น) พร้อมทั้งผีเสื้อบก (บางสำนวนว่าพร้อมทั้งผีเสื้อบกและผี เสื้อน้ำ...) ทั้งหลายแล ในอนาคตภายหน้า คนทั้งหลายที่อาศัยอยู่ในเมืองอันนี้ แม้นว่ารู้แตกฉานในธรรมของตถาคตก็ดี จักเลือกหาผู้มีสัจจะซื่อสัตย์สุจริตนั้นยาก แท้แล
ตาม เส้นทางโขงสองฝั่ง เราจะพบ เห็นการทำลายป่าต้นน้ำ เพื่อใช้ ประโยชน์ในการเพาะปลูก และถือ ครองเป็นเจ้าของ พบเห็นทั่วไป เกือบทุกเขตน้ำแดนดินทั้ง 6 ประ เทศ รวมทั้งในจีนตอนใต้
บั้น อุรังคะทาดนิทานนี้ เป็นที่มาของวรรณกรรมพุทธทำนายที่ศิลปินรุ่นครบรอบ 25 พุทธศตวรรษนำมาขยายความในรูปกลอนลำ แพร่หลายขยายตัวตามสองฟากฝั่งแม่น้ำโขงที่ใช้ภาษาลาวเป็นภาษาหลักในชีวิต ประจำวัน
เพราะ ว่าน้ำหนองแสขุ่นมัวเป็นตมหมด จึงพากันออกมาอยู่แม่น้ำและบนบก ในที่ต่างๆ กัน พวกผีทั้งหลายรู้ว่าพวกนาคจักมายาด (แย่งชิง) ชิงกินนำ ก็เฮ็ดให้นาคทั้งหลายตาย บางพ่องพญาทั้งหลายก็ตาย ตลอดฮอดเงือกงูก็ตายเช่นเดียวกัน แล้วจึงพากันออกหนีจากแคมหนองแสนั้น นาคและเงือกงูทั้งหลายอยู่ตามน้ำของ (โขง) ก็ยอมมาเป็นบริวารของพญานันทกังฮีสุวันนะนาค และก็พากันไปอาศัยอยู่ภูกู่เวียน ภูนั้นจึงได้ชื่อว่าภูกู่เวียน ส่วนพุทโธปาปนาคควัด (ขุด) แต่ภูกู่เวียนจนเกิดเป็นหนองใหญ่ มีชื่อว่าหนองบัวบานในบัดนี้...”
: ชีวายนาคขุดคลองมาด้วย

6 comments:

  1. ฟังเอาเด้อพี่น้องมวลชาติชาวมนุษย์ เกิดมาในโลกาฮ่วมกันหลายชั้น
    พันธุ์ตระกูลเครือเหง้าเถากอพงศ์ญาติ มีอยู่หลายเชื้อชาติคำเว้ากะต่างกัน
    คำกลอนถอดยอดชั้นเป็นศาสนาพุทธ นำเอามาจารึกให้หมู่เฮาได้เฮียนฮู้
    คอยฟังดูภายหน้าโลกาสิไหวหวั่น ถึงสองพันห้าฮ้อยให้คอยท่าเบิ่งเอา
    เฮาสิจาตามเรื่องแผนเมืองภูมิศาสตร์ ฝูงหมู่นักปราชญ์เจ้าฟังแล้วให้ฮ่ำฮอน
    ทุกมื้อนี้โลกกำลังเดือดฮ้อนเขี่ยวขุ่นโกลาหล มนุษย์กวนกังวลโลกคนเผาไหม้
    องค์พระสัพพัญญูไท้ทรงธรรมฮู้ฮ่อม ซอมเบิ่งภายหน้าพุ่นเมืองบ้านสิวุ่นวาย
    พระองค์เห็นเหตุฮ้ายหลายอย่างในมนุษย์ ตอนปลายศาสนาพุทธ คนสิออกันตายดังขอนเขาปล้ำ
    องค์พระธรรมเห็นแล้วสรญาณสอดส่อง ฟังเด้อพวกพี่น้องลุงป้าย่าหลาน
    ชาวเพื่อนบ้านให้ฟังก่อนกลอนแถลง เฮาสิแปลงกลอนสารต่อธรรมพระองค์เจ้า
    บ่อนสินำมาเว้าพุทธทำนายตรัสแบ่ง เพิ่นแสดงบอกไว้ให้เฮาได้อ่านดู

    มาจะกล่าวถึงท้าวพระยาใหญ่ปัสเสน ทรงสุบินนิมิตเมื่อนอนฝันฮ้าย
    ฝันเห็นมาหลายเรื่องการเมืองพรากไพร่ สิบหกข้อบอกไว้พระองค์เจ้าเล่าฝัน

    ReplyDelete
  2. ข้อหนึ่งนั้นฝันเห็นงัวตัวฮ้ายทั้งสี่สีแดง แล่นเข้ามาเหมิดแฮงจนดินไง่วุ้น
    ปรากฏว่าสิมุ่นฟ้าปิ้นดินไหว แล่นมาใกล้แล้วหนีไปคนละแห่ง
    คือขี้ฝ่ามันแบ่งยามเค้าขึ้นมา ฝนบ่ตกฮำนาหนีไปวับแวบ
    จักหน่อยนี้คนสิอึดฮอดแกลบเจียไก่ในฮัง ผิดแต่ครั้งหลัง ๆ โลกาฟ้าหย่อน ๆ ฯ

    ข้อสองนั้นฝันเห็นดอกไม้อ่อนออกดอกจูมจี หญิงอายุสิบสี่ปีเอาผัวซ้อนบ่อน
    หนอยกะมีลูกอ่อนไห้แอ่วกินนม พระสัตถาโคดมเล็งเห็นต้นเหตุ
    เป็นตะน่าสมเพทในเรื่องของคน เกิดมาบ่ทันโดนเอาผัวเทียมซ้อน มานอนชมดมกลิ่น
    ผิดฮีตคองป่องท้าง ทางต้นเล่าตัน ฯ

    ข้อสามนั้นฝันเห็นงัวพิกลเฒ่าขอกินนมนำลูก แลงและเช้าขอจู้ดูดกิน
    ตอนนี้อุปมาไว้คือสาวจีจูมจ่อ ออกจากบ้านงานสร้างบ่ห่วงใย
    ปล่อยพ่อแม่ทิ่มไว้ให้นั่งเจ่าเกาหัว ทรมานทนทุกข์ผ่อแต่ทางทอนท้อ
    ปล่อยเฮือนซานเอาไว้นาสวนฮั้วไฮ่ แล่นไปหารับจ้างให้เขาง้างเต่าตอง
    พอท้องไข่อ่องป่องแล้วเลยต่าวคืนมา ตากับยายยอมรับอั่งมะโนคาแค้น ฯ

    ข้อสี่นั้นฝันเห็นงัวแฮงน้อยเทียมเกวียนสลัดแอก แหวกหนทางมุ้นม้างเกวียนปิ้นปิ่นหมุน
    บ้านเมืองเฮาเกิดวุ่นเอาหัวดำออกก่อน เอาหัวด่อนไว้ก้นเมืองบ้านสิวุ่นวาย ฯ

    ReplyDelete
  3. ข้อห้านั้นฝันเห็นอาชาไนยม้าโตเดียวมีสองปาก ทั้งฮูดากขี้ก้นมีแท้ป่องเดียว
    ปากหนึ่งเคี้ยวหญ้าอ่อนชอนสับ ปากหนึ่งกินทางลับบ่อิ่มเต็มเล็มเกี้ยง
    เพิ่นเผดียงสอนไว้อุปไมยผู้เพิ่นได้เป็นใหญ่ ในสมัยข้างหน้าคือม้าบ่เที่ยงธรรม
    มีแต่มื้อสิย้ำจ้ำไพร่ไหมกิน ศีลบ่มีพอโตชั่วทรามนามฮ้าย ฯ

    ข้อหกนั้นฝันเห็นหมาขี้ฮ้ายเงี่ยวหดถาดทองคำ การกระทำของฝูงหมู่คนโจรฮ้าย
    ฝูงคณาแนวเชื้อชาวกรุงสิตกต่ำ ฝูงหมู่ขุนไพร่น้อยชิงบ้านยาดเมือง
    เขาสิพาลหาเรืองกินเมืองรีดไพร่ มีแต่คนบาปใบ้สิเป็นเจ้านั่งนคร
    ราษฎรสิเดือดฮ้อนคือดั่งนอนหนาม ทุกข์บ่มียามเบาตึ่มเต็มลงเรื่อย
    เมืองคนเฮายังกะปานเฟือยล้อมหนามคองป้องถี่ หนีกะหนีบ่ได้หนามหุ้มห่อกวม ฯ

    ข้อเจ็ดนั้นพระองค์ฝันพบพ้อหมาอุบาทว์มันกัด กินเชือกเป็นเห็นชัดหน่ายสะอางผางฮ้าย
    ชายหาเงินมาให้หญิงเอาไปใช้จ่าย เมียเลยเป็นผู้ฮ้ายเอาเงินซ่อนเซี่ยงผัว
    เมียไปหาเกียกกั้วเอาชู้ใหม่มาชม โจมเงินทองของผัวค่อยถนอมชายชู้ ฯ

    ข้อแปดนั้นฝันเห็นเมฆตั้งก้อนเป็นโงนฝนลิน คนก็เอาไหกินมาต่งลินยังน้ำ
    การกระบวนไหน้อยค่อยเต็มก่อนไหใหญ่ บาดฝนตกโจ้น ๆ ไหใหญ่ล้น ไหน้อยบ่เต็ม
    เพิ่นหากอุปไมยไว้ไหไพน้อยใหญ่ คือดั่งเงินบาทเบี้ยไหลเข้าใส่ถง
    เขาสิโกงกินแท้ชาวเมืองพวกไพร่ ฝูงนายใหญ่สิเบียดเบียนไพร่ฟ้า สินจ้างค่าสูง
    ลุงสิสอนหลานไว้อุปไมยจอมปลวก ฮอดที่ดินบ่อนนั่งขี้กะจำจี้ส่งหลวง
    มีแต่แนวหวงห้ามเก็บภาษีแทบทุกอย่าง บ่มีทางสิได้ ไหน้อยจั่งบ่เต็ม ฯ

    ReplyDelete
  4. ข้อเก้านั้น คำฝันมันต่าง ฝันเห็นสระใหญ่กว้างกลางขุ่นขอกใส
    มีดอกไม้เดียระดาดดวงหอม ซอมเบิ่งวังเวินใสข่วงกลางจนขุ่น
    ความฝันนี้ได้แก่ขุนเขาข้า เสนาข้าใหญ่ ใจบ่ใสมีแต่ลักโลภเลี้ยวเทียวส่อไพร่เมือง
    ต่อไปนี้คนสิได้เดือดฮ้อนเขี่ยวขุ่นโกลาหล ความทุกข์จนเผาผลาญไฮ่นาสูญสิ้น
    ขายที่ดินใช้หนี้นายทุนเขาทำไฮ่ พวกเสนาผู้ใหญ่หาแต่เงินใส่ไถ่ บ่ได้หวังโอบอุ้มเอาแหล่งไพร่เมือง ฯ

    ข้อสิบนั้น ฝันว่าหุงข้าวไว้เม็ดมากบ่มีสุก แสนสิดังไฟลุกเพิ่มทวีความฮ้อน
    เป็นที่อาทรแท้ไฟลามเผาจี่ หม้อข้าวหุงเดือดกุ้มสุมข้าวทั่วเตา
    บาดว่าเหลียวเบิ่งข้าวลางบ่อนบ่ทันสุก ไฟหากลนลามลุกจี่ลนจนดำปี้
    พระมณีเห็นแล้วเทศนาสอนสั่ง บอกว่าคองฮีตบ้านเมืองหน้าสิเสื่อมสูญ
    โลกของคนสิเกิดวุ่นเขี่ยวขุ่นมัวหมอง ผู้เป็นขุนเขาบ่ทำตามคองยองยีตีบ้าน
    การณ์สิมาภายหน้าเสนาสิโลภไพร่ หาแต่ทางสิได้ ตีม้างมุ่นหลาย
    พอเมื่อศักราชย้ายข้ามล่วงฤดูกาล ถึงเดือนห้าเดือนหก ฝนบ่ตกฮวยฮำป่าดงพงอ้อ
    รอไปถึงเดือนเก้าหนาวมาเอาผ้าห่ม มีแต่ลมแล่นต้องปิวปิ้นไหวไหว
    ต่อไปนี้คนสิถางป่าไม้ในป่าทำลายหมด องค์พุทโธสุคต เพิ่นหากทำนายไว้ ฯ

    ข้อสิบเอ็ดนั้น ฝันว่าเห็นท่อนไม้แก้วแก่นจันทน์แดง ของมันราคาแพงค่าสูงแสนตื้อ
    เขาเลยเอาไปซื้อขายกินแลกจ่าย จั่งแม่นเป็นตาหน่ายเอาแก่นจันทน์ใส่กะซ้าแขนห้อยเที่ยวขาย
    อันนี้แหล่วเพิ่นว่าภายหน้าพุ้นเคิ่งศาสนาพุทธ มนุษย์ในโลกามืดเมามัวกุ้ม
    ซุมหมู่ถือศีลมั่วจำในเจ้าหัวบ่าว เห็นผู้สาวแล้วกะเอิ้นเชิญเว้าดังสหาย
    นอกจากนั้นกะสิเป็นผู้ฮ้ายขายศาสนาพุทธ เอาพระธรรมลงมุดจ่ายขายกินจ้าง
    ตั้งเป็นตึกเป็นห้างขายกินปิ้นไป่ ทั้งพระสูตรพระวินัยเอาลงใส่กะซ้าโซนผ้าเที่ยวขาย
    จั่งแม่นเห็นต่อนฮ้ายขายรูปพระองค์ สงฆ์บ่ถือธรรมวินัยญาติโยมบ่ยำย่าน
    มีแต่คนพาลกล้าโกธาเขี่ยวขุ่น ศาสนาสิเกิดวุ่นสูญเศร้ามุ่นทลาย
    สงฆ์สิเป็นผู้ฮ้ายขายศาสนากู สัพพัญญูมองเห็นหน่ายสะอางผางฮ้าย

    ReplyDelete
  5. ข้อสิบสองนั้น ฝันเห็นหมากน้ำเต้าจมลงสมุทรใหญ่ เลยบ่ไหลล่องขึ้นจมติ้งดิ่งลง ฯ
    ข้อสิบสามนั้น ฝันเห็นหินอยู่แจ้งก้อนใหญ่เทิงภู เบิ่งมันฟูนำของล่องไหลลงใต้
    อุปไมยสองข้อพอดีมีอยู่ บักน้ำเต้าของฟู เลยเล่ากับต่าวหล่ม จมติ้งดิ่งลง
    หินใหญ่น้อยสิลอยล่องตามกระแส องค์พุทโธเฮาแปลสั่งมาจาต้าน
    การณ์สิมาภายหน้าฝูงประชาสิได้ขึ้นเป็นใหญ่ ฝูงคนพาลบาปใบ้สิเฮไห้ทั่วเมือง
    ไผบ่ฮู้ทราบเรื่องในเรืองคองธรรม กรรมจักนำมาเถิงต่ำลงเป็นน้อย
    ศาสนากูด้อยถอยลงไปใกล้สิเคิ่ง เถิงละเด้อหว่างหั่นสิหันปิ้นปิ่นหมุน
    ชนผู้น้อยคอยสิเกิดมียศ ผู้แทนมีปรากฏทั่วแดนดินด้าว


    ข้อสิบสี่นั้น ฝันเห็นงูเห่าห่อมลงกราบฝูงกบ จงอางยอมือนบเขียดจ่านาน้อมไหว้
    ฝูงหมู่ทำทานฮ้ายมาขอเป็นสหายกับเขียดบักแอ่ง เพิ่นแสดงบอกไว้ให้เฮาได้ฮิ่นตรอง
    ต่อไปนี้ประชาโลกล้วน สิเป็นใหญ่ในโลกา พวกเสนาชาวขุนสิต่ำลงเป็นน้อย
    พวกสอพอกินบ้านสิคลานหาเข้ากราบ นบนอบนิ้วขอซื้อยาดเสียง
    อย่าขายดื้อพี่น้องฝูงงูเห่าหรือทำทาน มันสิคอยทำฮ้าย ให้หมู่เฮาได้หลงบ้าน ฯ

    ข้อสิบห้านั้น ฝันเห็นหงส์ทองเฝ้าตอมอีกามวลมาก พระองค์หากเทศน์ไว้ให้เฮาได้อ่านเห็น
    การณ์สิเป็นภายหน้าพุ้น ฝูงหมู่เสนา อมาตย์ในเวียงวังสิหลั่งลงเต็มบ้าน
    มาจัดการทำสร้างนาสวนฮั่วไฮ่ เป็นสงครามยาดไพร่สิเห็นแท้แน่นอน ฯ

    ข้อสิบหกนั้น ฝันเห็นหมาป่าฮ้ายพากันแล่นหนีแกะ พระโคดมทรงแนะบอกทางทายไว้
    ในสมัยภายหน้ากาลสิมาให้จำไว้เด้อพ่อ พวกคนชั่วเขาสิอยู่บ่ได้ไกลข้างห่างหนี
    คนทำดีสิได้ขึ้นเป็นใหญ่ในโลกา ศาสนาของกูสิเคิ่งปลายไปแล้ว
    คนในโลกากว้างเห็นกันแล้วคิดฮอด บ่ได้คิดเคียดแค้นคือด้ามดั่งหลัง
    ผิดกับตั้งแต่ครั้งสมัยเก่าโบฮาณ ทางสิบคืนซาวคืนสิย่อเป็นคราวมื้อ
    สมัยต่อไปนี้ มีพระบ่มีสงฆ์ มีถงบ่มีบ่อนห้อย สิไหลเวินอยู่คือจอก เพิ่นทำนายบอกไว้ ให้เฮาได้อ่านดู ฯ

    ReplyDelete
  6. ศักราชป่า (พุทธทำนาย)


    ...........อุกาสะ ศิริสุ ศักยะมุนี โคดมบรมโลกนารถ ศาสดาจารย์ ญาณสัพพัญูญู อันเป็นสั่งสอน แก่ฝูงเทพนิกร อินทร์ พรหม ยม ยักษ์ ทั่วอนันตระจักรวาล

    พระพุทธองค์ผู้ทรงญาณ ทรงสงสารแก่ฝูงเทพา ประชาชน คนทั้งหลาย อยู่ภายหลัง จึงเสด็จยับยั้ง ตั้งพระพุทธศาสนา ไว้ให้ถ้วน ๕ พันพระพรรษาอติกกันตา

    ถ้าจะคณะนานับเดือน ได้ ๖๐,๐๐๐ (หกหมื่นเดือน) ครามครัน ถ้าจะคณะนานับวันได้ ๑,๘๐๐,๐๐๐ (หนึ่งล้านแปดแสนวัน) เป็นกำหนด ถ้าจะคณะนานับพระอุโบสถได้ ๑๒๐,๐๐๐ (หนึ่งแสนสองหมื่นพระอุโบสถ) ถ้าจะกำหนดฤดูได้ ๑๕,๐๐๐ (หนึ่งหมื่นห้าพันตฤดู) มิได้คลาด สมเด็จมุนีนารถ จึงประทานพระสัทธรรมเทศนาให้ไว้กับพระอานนท์ และสาวกเจ้าทั้งหลาย

    ...........จึงมีพระพุทธทำนายให้ไว้เป็นกำหนด จึงตรัสว่า ภิกฺขเว ดูกร พุทธาสงฆ์ผู้ทรงศีล จตุปาริสุทธิสิกขา ที่จะสืบสร้างไปในระหว่างพระพุทธศาสนาของพระตถาคต ที่ล่วงลับไปแล้วนั้นบ่มิทันนาน ประมาณห้าร้อยปี จะหานางภิกษุณีก็หาบ่มิได้

    ครั้นล่วงถึงพันปีหนึ่งนั้นไซร้ ก็จะไม่มีพระอรหันต์ที่จะมาเหาะเหิรเดินนภาลัยอากาศนั้นได้

    ถึงล่วงถึงสองพันปีหนึ่งนั้นไซร้ ก็จะไม่มีนักปราชญ์ ที่จะมาเล่าเรียนให้จบพระไตรปิฎกบริบูรณ์นั้นได้

    ครั้นล่วงถึงสามพันปี ก็จะไม่มีภิกษุสงฆ์ที่จะลงมาปกปักกะตักมั่วสุมประชุมกันกระทำอุโบสถ ปฏิบัติพรตตามธรรมเนียม

    ครั้นล่วงถึงสี่พันปี บาตรไตรจีวรก็จะสูญสิ้น

    ครั้นล่วงถึงห้าพันปี ประชาชี ก็จะพากันดูหมิ่นพระศาสนา จะมีแต่ผ้าเหลืองน้อยห้อยหู จึงรู้สำคัญ สัญญากัน่าตนนั้นบวชเป็นชีศาสนาของพระชินศรี เมื่อจะสิ้นก็สิ้นในปีชวดนักษัตร อรรถศกเพ็ญเดือนหก คิมหันตฤดูวันอังคาร ยามอังคารยังอีกสี่นาฬิกา จะรุ่งขึ้นเป็นวันพุธ คราทีนั้น ก็จะสิ้นสุดพระพุทธศาสนา ขององค์สมเด็จโคดม

    ครานั้นสารีริกธาตุทั่วสกลไร้คนสักการะ จะเสด็จมารวมปรากฏพระชินสีห์ พระองค์ก็จะเปล่งช่อ ฉัพพรรณรังสี แผ่รัศมี ๖ ประการ งามเรืองรองประดุจดั่งสีทองธรรมชาติ

    ผู้ใดได้ฟังพระพุทธศักราช ก็จะรำลึกชาติได้ดังใจจิตร จะนึกเอาชั้นอินทร์และชั้นพรหม ก็จะสมความคิด จะเนรมิตวิมานสวรรค์ ไว้คอยท่า

    พระองค์ทรงตรัสพระสัทธรรมเทศนา อยู่ถึง ๗ วันแล ๗ คืน พระบรมธาตุเสด็จดับขันธ์เข้าสู่พระนิพพาน แผ่นดินดานก็จะสูงขึ้นแปดพันวา ด้วยอำนาจพุทธกาปิตาเจ้าของเรานั้น จึงจะถาวรณะบรรจบครบจำนวนถ้วน ๕ พันปี พระพรรษา

    ReplyDelete