Thursday 31 May 2012

สิทธัตถะ โคตมะ सिद्धार्थ गौतम

สิทธัตถะ โคตมะ ในภาษาบาลี หรือ สิทฺธารฺถ เคาตมะ (/สิดทาด —/) ในภาษาสันสกฤต (เทวนาครี: सिद्धार्थ गौतम) หรือ พระโคตมพุทธเจ้า หรือที่นิยมเรียกว่า พระพุทธเจ้า เป็นพระบรมศาสดาของศาสนาพุทธ และทรงเป็นผู้เผยแพร่พระธรรมวินัย ซึ่งต่อมาเรียกว่า "พุทธศาสนา" พุทธศาสนานิกายเถรวาทถือว่า การออกพระนามด้วยโคตรนั้นเป็นการไม่เคารพ เช่น เรียกว่า "พระสมณโคดม" เป็นต้น นิกายนี้จึงมักเรียกพระองค์ด้วยศัพท์ว่า "สตฺถา" แปลว่า "ศาสดา"
คัมภีร์พุทธศาสนาทั้งนิกายเถรวาทและนิกายมหายานบันทึกตรงกันว่า พระโคตมพุทธเจ้าทรงดำรงพระชนมชีพอยู่ระหว่าง 80 ปีก่อนพุทธศักราช จนถึงเริ่มพุทธศักราชซึ่งเป็นวันปรินิพพาน ตรงกับ 543 ปี ก่อนคริสตกาลตามตำราไทยซึ่งอ้างอิงปฏิทินสุริยคติไทยและปฏิทินจันทรคติไทย และตรงกับ 483 ปีก่อนคริสตกาลตามปฏิทินสากล พระโคตมพุทธเจ้าเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะและพระนางสิริมหามายาแห่งศากยวงศ์ โคตมโคตร อันเป็นราชสกุลวงศ์ที่ปกครองกรุงกบิลพัสดุ์มาแต่ช้านาน มีพระนามแต่แรกประสูติว่า สิทธัตถะ ในภาษาบาลี หรือ สิทธารถ ในภาษาสันสกฤต พระองค์ยังทรงดำรงตำแหน่งแห่งมกุฏราชกุมารในครั้งนั้นด้วย เมื่อเสด็จออกผนวชและบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ทรงได้รับการถวายพระนามต่าง ๆ อาทิ พระศากยมุนี, พระพุทธโคดม, พระโคดมพุทธเจ้า ฯลฯ แต่ทรงออกพระนามพระองค์เองว่า "ตถาคต" แปลว่า พระผู้ไปแล้วอย่างนั้นคือ ทรงปฏิญาณว่าทรงพ้นจากทุกข์ทั้งปวงเข้าสู่สภาพเช่นนั้น อันได้แก่ การดับทุกข์ กล่าวคือสภาวะแห่งอรหัตผลแล้ว พระนางสิริมหามายาแห่งโกลิยวงศ์ พระมเหสีของพระเจ้าสุทโธทนะแห่งศากยวงศ์ผู้ครองกรุงกบิลพัสดุ์ แคว้นโกศล ในคืนที่พระพุทธเจ้าเสด็จปฏิสนธิในครรภ์พระนางสิริมหามายา พระพุทธมารดาได้ทรงพระสุบินนิมิตว่า ช้างเผือกมีงาสามคู่ได้เข้ามาสู่พระครรภ์ ณ ที่บรรทม สิบเดือนหลังจากนั้น ขณะทรงพระครรภ์แก่ได้ทรงขอพระราชานุญาติจากพระสวามีเสด็จแปรพระราชฐานไปประทับ ณ กรุงเทวทหะอันเป็นพระมาตุภูมิเพื่อให้การประสูติเป็นไปตามประเพณีนิยมในสมัยนั้น ระหว่างเสด็จกลับพระมาตุภูมิ พระพุทธมารดาได้ทรงพักผ่อนพระอิริยาบถใต้ต้นสาละในสวนป่าชื่อ ลุมพินีขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ปีจอ ก่อนพุทธศักราช 80 ปี ได้ประสูติพระราชกุมารเมื่อดำเนินได้ 7 ก้าวทรงเปล่งอาสภิวาจา ว่า "เราเป็นผู้เลิศ เป็นผู้เจริญ เป็นผู้ประเสริฐที่สุดแห่งโลก การเกิดของเราครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย บัดนี้ภพใหม่ไม่มีอีกแล้ว" ซึ่งต่อมาจะได้บรรลุสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้า อนึ่ง ทั้งสวนป่าลุมพินีและกรุงกบิลพัสดุ์ในปัจจุบันอยู่ในเขตประเทศเนปาล[4] หลังจากที่มีพระประสูติกาลแล้ว 7 วัน พระพุทธมารดาก็เสด็จสู่สวรรคาลัย ในปฐมสมโพธิกถา พระนิพนธ์ในสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรสกล่าวว่า เป็นเพราะพระครรภ์ของพระพุทธมารดาไม่ควรจะเป็นที่เกิดของสัตว์ใดอีก และจึงจักต้องเสด็จสู่สวรรคาลัย หลังจากมีพระประสูติกาลแล้ว 3 วัน มีฤๅษีตนหนึ่งได้เข้าเยี่ยมพระราชกุมารมีนามว่า "อสิตดาบส หรือกาฬเทวิลดาบส" และได้วางพระบาทเหนือศีรษะฤๅษีอสิตดาบสเพื่อให้ชมดูรอยตำหนิแห่งการกำเนิด เมื่อพบว่าพระราชกุมารมีมหาปุริสลักษณะ ฤๅษีจึงทำนายไว้เป็น 2 ลักษณะ ดังนี้ 1. ถ้าอยู่ครองฆราวาสจักได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ 2. ถ้าเสด็จออกทรงผนวชจักได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นศาสดาเอกของโลกเป็นแน่ 5 วัน พระเจ้าสุทโธทนะโปรดให้มีพระราชพิธีเฉลิมพระประสูติกาลเพื่อประกอบพิธีขนานพระนามพระราชกุมารในพระราชพิธี พราหมณ์ 8 นายซึ่งได้รับเชิญมา 7 นายในจำนวนนั้นทำนายเป็นเสียงเดียวกันอย่างคำประกาศของฤๅษีอสิตดาบส เว้นแต่พราหมณ์ชื่อโกณฑัญญะว่าจะเสด็จออกทรงผนวชจักได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เท่านั้น ฝ่ายพราหมณ์โกณฑัญญะเมื่อเชื่อมั่นในคำทำนายของตนแล้วก็ออกบวชล่วงหน้าเพื่อเตรียมตัวเป็นสาวกของพระราชกุมาร ในพระราชพิธีนี้ พระราชกุมารทรงได้รับขนานพระนามว่า "สิทธัตถะ" มีความหมายว่า ผู้ที่สำเร็จความมุ่งหมายแล้ว หรือ ผู้ปรารถนาสิ่งใดย่อมได้สิ่งนั้น เจ้าชายสิทธัตถราชกุมาร ทรงเจริญวัยด้วยความสุขยิ่ง เพราะกำเนิดในราชตระกูลภายใต้เศวตฉัตร และได้ทรงศึกษาในสำนักอาจารย์วิศวามิตร ซึ่งเป็นสำนักที่มีชื่อเสียงที่สุด เจ้าชายได้ทรงศึกษาอย่างรวดเร็ว และจบหลักสูตรสิ้นทุกประการ คือจบศิลปศาสตร์ทั้ง 18 สาขาวิชา พระเจ้าสุทโธทนะ ทรงปริวิตกต่อคำทำนายของพราหมณ์หนุ่ม ที่ว่าเจ้าชายจะทรงออกผนวชแน่นอน จึงทรงจัดการเตรียมความพร้อมสำหรับการราชาภิเษกให้เจ้าชายขึ้นครองราชย์ พร้อมสร้างปราสาท 3 ฤดูให้อยู่ประทับ เมื่อพระชมน์ได้ 16 พรรษาได้เข้าสู่พิธีอภิเษกสมรสกับพระนางยโสธราพิมพา ผู้เป็นธิดาของพระเจ้าสุปปพุทธะ กษัตริย์ผู้ครองราชสมบัติกรุงเทวทหนคร เจ้าชายสิทธัตถะได้เสวยสุขกับพระนางตลอดมา จนพระชนมายุได้ 29 พรรษา และมีพระราชโอรสองค์หนึ่งพระนามว่าราหุล ซึ่งแปลว่า บ่วง

 

พระพุทธศาสนา กรรม นรก สวรรค์

พระพุทธศาสนา หรือ ศาสนาพุทธ (อังกฤษ: Buddhism, จีน: 佛教, บาลี: buddhasāsana, สันสกฤต: buddhaśāsana) เป็นศาสนาที่มีพระพุทธเจ้าเป็นพระบรมศาสดา มีพระธรรมที่พระบรมศาสดาตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เองตรัสสอนไว้เป็นหลักคำสอนสำคัญ มี พระสงฆ์ หรือสังฆะแห่งพุทธบริษัท 4 เป็นชุมชนของผู้นับถือศาสนาและศึกษาปฏิบัติตนตามคำสั่งสอนของพระบรมศาสดา เพื่อสืบทอดไว้ซึ่งคำสอนของพระบรมศาสดา รวมเรียกว่า พระรัตนตรัย1ขอนอบน้อมเคารพ สุดจิตสุดใจต่อพระมหาศาสดาแห่งเราชาวพุทธ พระพุทธองค์ผู้บริสุทธิ์จากกิเลสและบาปทั้งมวล ผู้ปิดเผยพระธรรม ผู้อนุเคราะห์โลกด้วยธรรม และกำเนิดพระสงฆ์ผู้บริสุทธิ์ด้วยศีลและสมาธิและปัญญา เพื่ออนุเคราะห์โลก และมนุษย์ ศาสนาพุทธเป็นศาสนาอเทวนิยม และเชื่อในศักยภาพของมนุษย์ว่าทุกคนสามารถพัฒนาจิตใจไปสู่ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ได้ด้วยความเพียรของตน กล่าวคือศาสนาพุทธสอนให้มนุษย์บันดาลชีวิตของตนเองด้วยผลแห่งการกระทำของตน ตาม กฎแห่งกรรม มิได้มาจากการอ้อนวอนขอจากพระเป็นเจ้าและสิ่งศักดิ์สิทธิ์นอกกาย คือ ให้พึ่งตนเอง เพื่อพาตัวเองออกจากกอง ทุกข์มีจุดมุ่งหมายคือการสอนให้มนุษย์หลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวงในโลกด้วยวิธีการสร้าง ปัญญา ในการอยู่กับความทุกข์อย่างรู้เท่าทันตามความเป็นจริง วัตถุประสงค์สูงสุดของศาสนา คือ การหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวงและวัฏจักรการเวียนว่ายตายเกิด เช่นเดียวกับที่พระศาสดาทรงหลุดพ้นได้ด้วยกำลังสติปัญญาและความเพียรของพระองค์เอง ในฐานะที่พระองค์ก็ทรงเป็นมนุษย์ มิใช่เทพเจ้าหรือทูตของพระเจ้าองค์ใด พระศาสดาของศาสนาพุทธคือพระโคตมพุทธเจ้า พระนามเดิมว่า เจ้าชายสิทธัตถะ ได้ทรงเริ่มออกเผยแผ่คำสอนในชมพูทวีป ตั้งแต่สมัยพุทธกาล แต่หลังปรินิพพานของพระพุทธเจ้า พระธรรมวินัยที่พระองค์ทรงสั่งสอน ได้ถูกรวบรวมเป็นหมวดหมู่ด้วยการสังคายนาพระธรรมวินัยครั้งแรกจนมีการรวบรวมขึ้น เป็นพระไตรปิฎก ซึ่งเป็นหลักการสำคัญที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงมาตลอดของ นิกายเถรวาท ที่ยึดหลักไม่ยอมเปลี่ยนแปลงคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า แต่ในการสังคายนาพระธรรมวินัยครั้งที่สอง ได้เกิดแนวคิดที่เห็นต่างออกไป[6] ว่าธรรมวินัยสามารถปรับปรุงเปลี่ยนแปลงได้ตามเวลาและสถานการณ์เพื่อความอยู่รอดแห่งศาสนาพุทธแนวคิดดังกล่าวจึงได้เริ่มก่อตัวและแตกสายออกเป็นนิกายใหม่ในชื่อของ นิกายมหายาน ทั้งสองนิกายได้แตกนิกายย่อยไปอีกและเผยแพร่ออกไปทั่วดินแดนเอเชียและใกล้เคียง บ้างก็จัดว่า วัชรยาน เป็นอีกนิกายหนึ่ง แต่บ้างว่าเป็นส่วนหนึ่งของนิกายมหายาน แต่การจัดมากกว่านั้นก็มีหลักพื้นฐานสำคัญของปฏิจสมุปบาท เป็นเพียงหลักเดียวที่เป็นคำสอนร่วมกันของคติพุทธ ปัจจุบันศาสนาพุทธได้เผยแผ่ไปทั่วโลก โดยมีจำนวนผู้นับถือส่วนใหญ่อยู่ในทวีปเอเชีย ทั้งในเอเชียกลาง เอเชียตะวันออก และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ปัจจุบันศาสนาพุทธได้มีผู้นับถือกระจายไปทั่วโลก ประมาณ 700 ล้านคนด้วยมีผู้นับถือในหลายประเทศ ศาสนาพุทธจึงเป็นศาสนาสากล องค์ประกอบ-สิ่งเคารพสูงสุดพระรัตนตรัย คือสรณะที่พึ่งอันประเสริฐในศาสนาพุทธ สรณะ หมายถึง สิ่งที่ให้ศาสนิกชนถือเอาเป็นแบบอย่าง หรือให้เอาเป็นตัวอย่าง แต่มิได้หมายความว่าเมื่อเคารพแล้วจะดลบันดาลสิ่งต่าง ๆ ตามต้องการได้ พระรัตนตรัยนั้นประกอบด้วยองค์สาม ได้แก่ 1.พระพุทธเจ้า เป็นผู้ที่บำเพ็ญสั่งสมบารมีมาหลายภพชาติ จนชาติสุดท้ายเกิดเป็นมนุษย์แล้วอาศัยความเพียรพยายามและสติปัญญาปฏิบัติจนได้บรรลุสิ่งที่ต้องการคือธรรมอันเป็นเครื่องออกจากทุกข์ มิใช่บรรลุได้ด้วยการดลบันดาลของเทพเจ้าหรือพระเจ้าองค์ใด ๆ แล้วชี้แนะหรือชี้ทางให้คนอื่นทำตาม 2.พระธรรม คือ คำสอนว่าด้วยธรรมชาติที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบแล้วทำให้พ้นทุกข์ และเป็นเครื่องมือนำออกจากทุกข์ 3.พระสงฆ์ คือหมู่ชนหรือชุมชนของพระสาวกไม่ว่ามนุษย์หรือเทวดา ที่ทำตามคำแนะนำของพระพุทธเจ้าแล้ว ประสบผลสำเร็จพ้นทุกข์ตามพระพุทธเจ้า ศาสดาของศาสนาพุทธ คือ พระโคตมพุทธเจ้า ทรงมีพระนามเดิมว่า เจ้าชายสิทธัตถะ ทรงประสูติในดินแดนชมพูทวีป ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 80 ปีก่อนพุทธศักราช ณ สวนลุมพินีวัน เจ้าชายสิทธัตถะผู้เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะและพระนางสิริมหามายา ทรงดำรงตำแหน่งรัชทายาท ผู้สืบทอดราชบัลลังก์กรุงกบิลพัสดุ์แห่งแคว้นศากยะและเมื่อพระชนมายุ 16 ชันษา ทรงอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงยโสธราแห่งเมืองเทวทหะ ต่อมาเมื่อพระชนมายุ 29 ชันษา ทรงมีพระโอรส 1 พระองค์พระนามว่า ราหุล ในปีเดียวกัน พระองค์ทอดพระเนตรเทวทูตทั้งสี่ จึงทรงตัดสินพระทัยออกผนวชเป็นสมณะ เพื่อแสวงหาทางหลุดพ้นอันนำไปสู่การบรรลุความหลุดพ้นจากทุกข์ คือ ความแก่ เจ็บ และตาย ในปีเดียวกันนั้น ณ ริมฝั่งแม่น้ำอโนมานที[17] และหลังจากออกผนวชมา 6 พรรษา ทรงประกาศการค้นพบว่าการหลุดพ้นจากทุกข์ทำได้ด้วยการฝึกจิตด้วยการเจริญสติ ประกอบด้วยศีล สมาธิ และปัญญา จนสามารถรู้ทุกสิ่งตามความเป็นจริงว่า เป็นทุกข์เพราะสรรพสิ่งไม่สมบูรณ์ ไม่แน่นอน และบังคับให้เป็นดั่งใจไม่ได้ จนไม่เห็นสิ่งใดควรยึดมั่นถือมั่นหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวง จวบจนได้ทรงบรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณคือ การตรัสรู้ อริยสัจ 4 ขณะมีพระชนมายุได้ 35 ชันษา ที่ใต้ต้นศรีมหาโพธิ์ ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม จากนั้นพระองค์ได้ออกประกาศสิ่งที่พระองค์ตรัสรู้ตลอดพระชนม์ชีพ เป็นเวลากว่า 45 พรรษา ทำให้ศาสนาพุทธดำรงมั่นคงในฐานะศาสนาอันดับหนึ่งอยู่ในชมพูทวีปตอนเหนือจวบจนพระองค์ได้เสด็จปรินิพพานเมื่อพระชนมายุได้ 80 พระชันษา ณ สาลวโนทยาน (ในวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 6)

ศรีลังกา (สิงหล: ශ්රී ලංකා; ทมิฬ: இலங்கை)

ศรีลังกา (สิงหล: ශ්රී ලංකා; ทมิฬ: இலங்கை) หรือชื่อทางการว่า สาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา (อังกฤษ: ශ්රී ලංකා ප්රජාතාන්ත්රික සමාජවාදී ජනරජය; ทมิฬ: இலங்கை சனநாயக சோசலிசக் குடியரசு) เป็นประเทศเกาะในมหาสมุทรอินเดียใกล้ชายฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของอนุทวีปอินเดีย ชื่อในอดีตได้แก่ ลงกา ลังกาทวีป สิงหลทวีป และ ซีลอน ซึ่งเป็นชื่อที่ใช้ในสมัยอาณานิคมจนถึง พ.ศ. 2517 และเป็นชื่อที่ยังคงใช้ในบางโอกาส ซึ่งชื่อในปัจจุบันคือ ศรีลังกา ชีวิตบนเกาะนี้ ได้รับผลกระทบจากการสู้รบ ระหว่างรัฐบาล และกองทัพพยัคฆ์ปลดปล่อยทมิฬอีแลม (Liberation Tigers of Tamil Eelam) ซึ่งได้มีข้อตกลงหยุดยิงเมื่อต้นปี พ.ศ. 2545 (ค.ศ. 2002) ชาวสิงหลและชาวทมิฬเข้ามาตั้งรกรากอยู่ในศรีลังกาประมาณ 500 ปี และ 300 ปีก่อนคริสตกาลตามลำดับ โดยต่างก็อพยพมาจากอินเดีย อาณาจักรสิงหลได้ก่อตั้งขึ้นในบริเวณที่ราบทางภาคเหนือของศรีลังกา โดยมีเมืองอนุราธปุระเป็นเมืองหลวงแห่งแรกยาวนานถึงประมาณ 1,200 ปี ต่อมาในศตวรรษที่ 13 จึงได้เสื่อมลง พร้อมกับการเกิดขึ้นของอาณาจักรทมิฬ โดยมีเมือง'โปลอนนารุวะเป็นเมืองหลวงยาวนานประมาณ 200 ปี ชาวทมิฬจึงได้อพยพไปตั้งอาณาจักรจัฟฟ์นาทางคาบสมุทรจัฟฟ์นา ตอนเหนือของประเทศส่วนชาวสิงหลได้ถอยร่นลงไปตั้งรกรากอยู่ทางใต้ ก่อตั้งเป็นอาณาจักรแคนดี ซึ่งมีเมืองแคนดีเป็นเมืองหลวง นอกจากนี้ก็มีอาณาจักรโกฏเฏและอาณาจักรรุหุนะ โดยอาณาจักรแคนดีเป็นอาณาจักรที่มีอำนาจมากที่สุดประมาณศตวรรษที่ 15 อิทธิพลของตะวันตกเริ่มเข้ามามีบทบาทในศรีลังกา เริ่มจากโปรตุเกส ดัตช์ และอังกฤษ ตามลำดับ โดยมาทำการค้าตามเมืองท่าด้านตะวันตกของประเทศ และในปี พ.ศ. 2048 (ค.ศ. 1505) โปรตุเกสได้เข้ายึดครองพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลและปกครองประเทศก่อนที่ชาวดัตช์จะเข้าครอบครองดินแดนศรีลังกาในปี พ.ศ. 2201 (ค.ศ. 1658) และต่อมาอังกฤษสามารถครอบครองศรีลังกาเป็นเมืองขึ้นในปี พ.ศ. 2358 (ค.ศ. 1815) ภายใต้อนุสัญญา Kandyan รวมเวลาที่ศรีลังกาตกเป็นเมืองขึ้นของต่างชาติเกือบ 500 ปี และอังกฤษได้ใช้ศรีลังกาเป็นฐานปฏิบัติการทางทหารที่สำคัญแห่งหนึ่งในมหาสมุทรอินเดียในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ศรีลังกาได้รับเอกราชจากอังกฤษ เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2491 (ค.ศ. 1948) รูปแบบการปกครอง รัฐสภาเป็นระบบสภาเดียวโดยสมาชิกทั้งหมด 225 คน ได้รับเลือกจากประชาชนทุก ๆ 6 ปี ผู้มีสิทธิออกเสียงต้องมีอายุ 18 ปีขึ้นไป ประธานาธิบดีมาจาก การเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน อยู่ในตำแหน่ง 6 ปี มีฐานะเป็นประมุขของประเทศและหัวหน้ารัฐบาล เป็นผู้แต่งตั้งนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี และมีอำนาจถอดถอนนายก รัฐมนตรีและรัฐมนตรี การปกครองท้องถิ่นแบ่งออกเป็น 24 เขตการปกครอง แต่ละเขตปกครองโดยผู้ว่าราชการ (Governor) ที่มาจากการแต่งตั้ง และแต่ละเขตมีสภาการพัฒนา(Development Council) ซึ่งมาจากการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน ประมุขของรัฐและหัวหน้า ประธานาธิบดีจันทริกา บันดารานัยเก กุมาราตุงคะ รัฐบาล (Mrs. Chandrika Bandaranaike Kumaratunga) เข้ารับตำแหน่งสมัยแรกเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2537 (ค.ศ.1994) และสมัยที่สองเมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2542 (ค.ศ. 1999) นายกรัฐมนตรี นายรัตนาสิริ วิเกรมานัยเก (Ratnasiri Wickremanayake) เข้ารับตำแหน่งเมื่อเดือนสิงหาคม 2543 (ค.ศ. 2000) สืบแทนนางสิริมาโว บันดารานัยเก (Sirimavo Bandaranaike) และได้รับการแต่งตั้งเป็น นรม. เป็นสมัยที่ 2 ภายหลังการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2544 รัฐมนตรีต่างประเทศ นาย Lakshman Kadirgamar เข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2537 (ค.ศ. 1994) คณะรัฐมนตรี ประกอบด้วยรัฐมนตรี 44 คน ประธานรัฐสภา นาย Anura Bandaranaike (น้องชายของประธานาธิบดี แต่สังกัดพรรคฝ่ายค้าน) พรรคการเมือง ปัจจุบันมีพรรคการเมืองใหญ่น้อยประมาณ 30 พรรค มีพรรคการเมืองสำคัญ ๆ ได้แก่ - พรรค Sri Lanka Freedom Party (SLFP) - พรรค United National Party (UNP) - พรรค Tamil United Liberation Front (TULF) - พรรค Ceylon Workers’ Congress (CWC) - พรรค Sri Lanka Mahajana Party (SLMP) - พรรค Janatha Vimukti Peramuna (JVP) หรือ People’s Liberation - พรรค Sri Lanka Muslim Congress (SLMC) การเมืองภายในของศรีลังกาปัจจุบัน ศรีลังกาเป็นประเทศที่ประกอบด้วยประชากรหลายเชื้อชาติ ศาสนา แต่การเมืองภายในมีพรรคการเมืองที่สำคัญเพียง 2 พรรคของชนชาติสิงหล คือ SLFP (Sri Lanka Freedom Party) และพรรค UNP (United National Party) ที่แข่งขันช่วงชิงอำนาจทางการเมือง พรรคการเมืองอื่น ๆ ซึ่งเป็นพรรคของชนเชื้อสายทมิฬและชนกลุ่มน้อยอื่น ๆ เป็นพรรคย่อยและมีความสำคัญน้อย นับแต่ศรีลังกาได้รับเอกราชจากอังกฤษในปี 2491 (ค.ศ. 1948) จนถึงปัจจุบันพรรค SLFP และพรรค UNP ผลัดกันเป็นรัฐบาลมาโดยตลอด โดยทั้งสองพรรคดังกล่าวนิยมระบอบประชาธิปไตยเหมือนกัน แต่ต่างกันที่นโยบายเศรษฐกิจของพรรค SLFP มีลักษณะเป็นสังคมนิยม ในขณะที่พรรค UNP มีนโยบายเศรษฐกิจเสรี

พุทธคยา, Bodh Gaya, Mahabodhi Temple

พุทธคยา ปัจจุบันตั้งอยู่ด้านตะวันตกของแม่น้ำเนรัญชรา ไกลจากฝั่งแม่น้ำประมาณ 350 เมตร (นับจากพระแท่นวัชรอาสน์) พุทธคยามีสัญลักษณ์ที่สำคัญคือองค์เจดีย์สี่เหลี่ยมที่สูงใหญ่ โดยสูงถึง 51 เมตร ฐานวัดโดยรอบได้ 121.29 เมตร ล้อมรอบด้วยโบราณวัตถุ โบราณสถานสำคัญ เช่น ต้นพระศรีมหาโพธิ์ พระแท่นวัชรอาสน์ ที่ประทับตรัสรู้ และอนิมิสสเจดีย์ เป็นต้น ซึ่งนอกจากพุทธสถานโบราณแล้ว บริเวณโดยรอบพุทธคยายังเป็นที่ตั้งของวัดพุทธนานาชาติ รวมทั้งวัดไทยคือ วัดไทยพุทธคยา สำหรับชาวพุทธ พุทธคยา นับเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางที่สำคัญที่สุดของนักแสวงบุญชาวพุทธทั่วโลกที่ต้องการมาสักการะสังเวชนียสถานสำคัญ 1 ใน 4 ห่งของพระพุทธศาสนา โดยในปี พ.ศ. 2545 วัดมหาโพธิ (พุทธคยา) สถานที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ประเภทมรดกทาง วัฒนธรรม ขององค์การยูเนสโก ที่ตั้งพุทธคยา พุทธคยา เป็นพุทธสังเวชนียสถานที่สำคัญที่สุด 1 ใน 4 สังเวชนียสถาน และถือว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของชาวพุทธทั่วโลก เพราะเป็นจุดเริ่มต้นของพระ พุทธศาสนา เป็นสถานที่เจ้าชายสิทธัตถะได้ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณเป็นสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นเวลากว่าสองพันห้าร้อยปีที่ สถานที่แห่งนี้เป็นศูนย์รวมของจุดหมายแสวงบุญของชาวพุทธผู้มีศรัทธาทั่วโลก ปัจจุบันพุทธคยามีชื่อเรียกอีกชื่อว่า วัดมหาโพธิ์ (อังกฤษ: Mahabodhi Temple) ตั้งอยู่ที่จังหวัดคยา รัฐพิหาร ประเทศอินเดีย ห่างจากริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา 350 เมตร อดีตตำบลที่ตั้งพุทธคยาชื่อว่า อุรุเวลาเสนานิคม ปัจจุบันเพี้ยนมาเป็น อุเรล ในปัจจุบันพุทธคยาอยู่ในความดูแลของคณะกรรมการร่วม พุทธ-ฮินดู2 และพุทธคยาได้รับการยกย่องจากองค์การยูเนสโก UNESCO ให้เป็นมรดกโลก ประเภทมรดกทางวัฒนธรรม เมื่อปี พ.ศ. 2545 พุทธคยาในสมัยพุทธกาล ในสมัยพุทธกาล พุทธคยา อยู่ในดินแดนที่เรียกกันว่าชมพูทวีป ตั้งอยู่ในหมู่บ้านนิคมชื่อว่าอุรุเวลา ในแคว้นมคธ เป็นสถานที่ ๆ ร่มรื่นเป็นรมณียสถาน สะดวก ด้วยโคจรคาม เหมาะแก่การบำเพ็ญเพียรทางจิต สภาพของพุทธคยาในสมัยพุทธกาลอาจจะพิจารณาได้จากพุทธพจน์ในพระไตรปิฏก ที่ได้ทรงตรัสกับโพธิราช กุมาร ในโพธิราชกุมารสูตร ราชวรรค มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ ซึ่งพระพุทธองค์ได้ทรงพรรณาถึงตำบลอุรุเวลาเสนานิคมไว้ว่าราชกุมาร! เรานั้นเมื่อหลีกไปจากสำนักอุทกผู้รามบุตรแล้ว แสวงหาอยู่ว่าอะไรเป็นกุศล ค้นหาแต่สิ่งที่ประเสริฐฝ่ายสันติอันไม่มีอื่นยิ่งกว่า, เที่ยวจาริกไปตามลำดับหลายตำบลในมคธรัฐ จนบรรลุถึงตำบล อุรุเวลาเสนานิคม พักแรมอยู่ ณ ตำบลนั้น. ณ ที่นั้น เราได้พบภาคพื้นรมณียสถาน มีชัฏป่าเยือกเย็น แม่น้ำใสเย็นจืดสนิท มีท่าน้ำราบเรียบเป็นอันดีน่าเพลินใจ มีบ้านสำหรับโคจรตั้งอยู่โดยรอบ. ราชกุมาร! เราได้เห็นแล้ว เกิดความรู้สึกว่า "ภูมิภาคนี้น่ารื่นรมย์จริง ชัฏป่าเย็นเยือก แม่น้ำไหลใสเย็นจืดสนิท มีท่าน้ำราบเรียบเป็นอันดีน่าเพลินใจ ทั้งที่โคจรก็ตั้งอยู่โดยรอบ, ที่นี้สมควรเพื่อจะตั้งความเพียรของกุลบุตรผู้ต้องการด้วยความเพียร" ดังนี้. ราชกุมาร! เรานั่งพักอยู่ ณ ตำบลนั้นเอง ด้วยคิดว่าที่นี้สมควรแล้วเพื่อการตั้งความเพียร ดังนี้. เมื่อพระพุทธองค์ได้ตรัสรู้แล้ว พระองค์ก็ได้ประทับอยู่ ณ พุทธคยา เพื่อเสวยวิมุตติสุข (ความสุขอันเกิดจากความหลุดพ้น) อยู่ 7 สัปดาห์ และเกิดเรื่องราวต่าง ๆ มากมาย ณ โพธิมณฑลแห่งนี้ภายในเวลา 7 สัปดาห์ดังกล่าว ซึ่งรวมถึงเรื่องราวของตปุสสะ และภัลลิกะ 2 พ่อค้า ที่เดินทางผ่านมาเห็นพระพุทธองค์มีพระวรกายผ่องใส จึงเข้ามาถวายข้าวสัตตุผลและสัตตุก้อน แล้วแสดงตนเป็นทวิวาจกอุบาสก ผู้ถึงพระพุทธและพระธรรมเป็นสรณะคู่แรกของโลก และพระพุทธองค์ได้ทรงประทานพระเกศาแก่พ่อค้าทั้งคู่เป็นที่ระลึกในพุทธานุสสติด้วย 3 พุทธคยาในสมัยพุทธกาล หลังจากการตรัสรู้และเสวยวิมุตติสุขของพระพุทธองค์แล้ว ไม่ปรากฏหลักฐานว่าพระพุทธองค์ได้เสด็จมา ณ ที่แห่งนี้แต่อย่างใด มีกล่าวถึงในอรรถกถาแต่เมื่อคราวพระอานนท์ ได้มา ณ พุทธคยา เพื่อนำเมล็ดพันธ์ต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่เจ้าชายสิทธัตถะตรัสรู้กลับไปปลูก ณ วัดพระเชตวัน เมืองสาวัตถี ตามความต้องการของอนาถบิณฑิกเศรษฐี ซึ่งปรารถนาให้มีสิ่งเตือนใจเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จไปประทับที่อื่น ต่อมาต้นโพธิ์ต้นที่อยู่ ณ วัดพระเชตวันจึงได้ชื่อว่าอานันทโพธิ์ และยังคงยืนต้นมาจนถึงปัจจุบัน พุทธคยาหลังพุทธปรินิพพาน บริเวณกลุ่มพุทธสถานพุทธคยา อันเป็นอนุสรณียสถานระลึกถึงการตรัสรู้ของพระพุทธองค์นั้น เริ่มสร้างขึ้นตั้งแต่สมัย พระเจ้าอโศกมหาราช4 และสร้างต่อเติมเรื่อยมาโดยกษัตริย์ชาวพุทธในอินเดีย พระองค์ต่อ ๆ มา จนกระทั่ง เมื่อกองทัพมุสลิมบุกเข้ามาโจมตีอินเดีย พุทธคยาจึงถูกปล่อยให้รกร้างไม่มีผู้คอยเฝ้าดูแลสำหรับความเป็นไปของต้นพระศรีมหาโพธิ์ตรัสรู้นั้น ต้นแรกเป็นสหชาติกับพระพุทธเจ้า (เกิดวันเดียวกันกับเจ้าชายสิทธัตถะประสูติ) มีอายุมาได้ 352 ปี จนถึงสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช จึงถูกทำลายโดยพระชายาของพระเจ้าอโศกมหาราช เพราะความอิจฉาที่พระเจ้าอโศกรักและหวงแหนต้นพระศรีมหาโพธิ์ต้นนี้จนไม่สนใจพระนาง ต้นพระศรีมหาโพธิ์ต้นที่สองนั้น ปลูกโดยพระเจ้าอโศกมหาราชจากหน่อพระศรีมหาโพธิ์ต้นเดิม และมีอายุยืนมาประมาณ 871-891 ปี จน ถูกทำลายในประมาณปี พ.ศ. 1143-1163 ด้วยน้ำมือของพระราชาฮินดูแห่งเบงกอลพระนามว่า ศศางกา ซึ่งพระองค์อิจฉาพระพุทธศาสนาที่มีความรุ่งเรืองมาก จึงทรงแอบนำกองทัพเข้ามาทำลายต้นโพธิ์ต้นนี้ ต้นพระศรีมหาโพธิ์ต้นที่สามนั้นปลูกโดยพระเจ้าปูรณวรมา กษัตริย์พระองค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์เมารยะ และต้นที่สามนี้มีอายุยืนมากว่า 1,258-1,278 ปี จึงล้มลงในสมัยที่อินเดียเป็นอาณานิคมของอังกฤษ และต้นพระศรีมหาโพธิ์ต้นที่สี่ ที่ยังคงยืนต้นมาจนปัจจุบัน ปลูกโดยนายพลเซอร์ อเล็กซานเดอร์ คันนิ่งแฮม เมื่อ พ.ศ. 2423 สำหรับความเป็นไปขององค์พระมหาโพธิเจดีย์นั้น พระเจ้าหุวิชกะ (อังกฤษ: Huvishka) มีพระราชศรัทธาสร้างมหาเจดีย์ถวายเป็นพุทธบูชา ในปี พ.ศ. 694 เพื่อเป็นสถานที่สักการะสำหรับพุทธบริษัท โดยได้สร้างเป็นพระเจดีย์รูปทรงสี่เหลี่ยมทรงรีสวยงามติดกับพระแท่นวัชรอาสน์ทางทิศตะวันออก มี 2 ชั้น โดยชั้นล่างเป็นสถานที่กราบนมัสการและชั้นบนเป็นห้องเจริญภาวนา ลักษณะของพระมหาโพธิเจดีย์มีเอกลักษณ์เฉพาะและตั้งตระหง่านเป็นสัญลักษณ์ของมหาโพธิมณฑลมากว่าสองพันปี ในบางช่วงพระราชาแห่งแคว้นต่าง ๆ ได้เข้ามาทำนุบำรุงอยู่เสมอ และได้รับการบูชารักษาจากชาวพุทธมาตลอด แต่มาขาดตอนไปเมื่อช่วงพันกว่าปีที่ผ่านมา เนื่องจากแผ่นดินอินเดียแถบนี้ถูกคุกคามจากสงครามและการเสื่อมถอยของพระพุทธศาสนา พุทธคยาจึงถูกปล่อยทิ้งร้างและถูกชาวฮินดู เข้าครอบครอง รวมทั้ง แปลงมหาโพธิเจดีย์เป็นเทวสถาน

Inside AdWords: Building a better shopping experience

Inside AdWords: Building a better shopping experience: (Cross-posted from the Google Commerce blog ) Truly great search is all about turning intentions into actions, lightning fast. In the earl...

สำหรับอิทธิบาท ๔

การเจริญพระกรรมฐาน ขอเอาพระธรรมอันหนึ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัส ว่าบุคคลใดปฏิบัติได้ครบถ้วน ท่านผู้นั้นจะเข้าถึงความเป็นผู้ สำเร็จทุกอย่างตามที่ตนประสงค์ทั้งทางโลกและทางธรรม แต่ว่าวันนี้ในที่นี้เราพูดกันเฉพาะธรรมเรื่องของโลกไม่เกี่ยว โลกจะดีโลกจะชั่วอย่างไรไม่มีความ สำคัญ เพราะคำว่าดีของโลกไม่มี โลกมีแต่เลว มันดีก็ดีแบบหลอกๆ โลกมันแปลว่ามีอันที่จะต้องฉิบหายไป ศัพท์นี้จงอย่าถือว่าเป็นคำหยาบเป็นศัพท์ปกติของ พระพุทธศาสนา ไม่ใช่ของหยาบไม่ใช่ของโลน ไม่ใช่ของน่าเกลียด สำหรับอิทธิบาท ๔ นี้มีอย่างนี้ ฉันทะ ความพอใจ คือพอใจในการปฏิบัติความดี วิริยะ มีความเพียร จิตตะ มีใจจดจ่ออยู่ในสิ่งนั้น วิมังสา ใช้ปัญญาควบคุมอยู่เสมอ หมายความว่าใช้ปัญญาควบคุมอารมณ์อยู่ตลอดเวลา แม้ว่าปัญญาในที่นี้ต้องใช้ใคร่ครวญเป็นตัวนำอยู่เสมอที่เรียกกันว่า สัมมาทิฏฐิ ทีนี้อิทธิบาท ๔ ข้อที่ 1.ฉันทะ พอใจอะไร พวกเราบวชเข้ามาเพื่ออะไร หรือว่าเข้ามาอยู่ในเขตพระพุธศาสนาเพื่ออะไร ผมก็จะขอนำถ้อยคำการขอ บรรพชา เอาสมัยก่อน แต่สมัยใหม่นี่ผมไม่ค่อยอยากจะคบนัก เพราะอะไรๆ มันใหม่ไปหมดนี่ผมไม่ค่อยชอบ ของใหม่ราคาถูก ของเก่าราคาแพง อย่างพระ พุทธรูป ของเก่าๆ ราคาแพงกว่าของใหม่มาก นี้การคำขอบรรพชาก็เหมือนกันของเก่าราคาแพงกว่าของใหม่ มีจุดหนึ่งที่ได้กล่าวว่า นิพพานัสสะ สัจฉิกิริยายะ เอตัง กาสาวัง คะเหตวา จึงแปลเป็นใจความว่าข้าพเจ้าขอรับกาสาวพัสตร์เพื่อจะทำให้แจ้งเสียซึ่งพระนิพพาน นี้เราขอบรรพชามาเรามีความมุ่งหมายอย่างนี้ เวลานี้ถึงแม้ว่าจะเปลี่ยนไปบ้าง แต่ก็ยังมีถ้อยคำว่าต้องการพระนิพพานอยู่เหมือนกัน นี้เป็นอันว่าคำปฏิญาณของเราที่เราจะบวชเข้ามาในพระพุทธศาสนาเรา ต้องการอะไร เป็นอันว่าเราต้องการพระนิพพาน ในเมื่อเราต้องการพระนิพพานแล้ว เวลาเราพอใจอะไรอย่าพอใจอะไร ฉันทะความพอใจ เราก็ต้องพอใจใน พระนิพพาน ทีนี้การที่จะพอใจในพระนิพพานเนี่ยเขาทำยังไงกันถึงจะถึงพระนิพพาน ต่อนี้ไปเราก็ไปดูคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธเจ้า บอกว่าคนที่จะเข้าถึงพระนิพพานได้นี่ก็ต้องขุดรากขุดเหง้าของกรรมที่เป็นอกุศลทิ้งให้หมด ในขณะหนึ่งตัดโลภะความโลภออกจากจิต แม้นด้วยการให้ทาน สองขุดความโกรธความพยาบาทจองล้างจองผลาญออกจากจิตเสียให้หมด เมื่ออาศัยการทรงพรหมวิหาร ๔ สามตัดความหลงออกไปเสียให้หมดด้วยอำนาจ ของปัญญาที่พิจารณาเห็นว่ากายนี้ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในกายและกายไม่มีในเรา เมื่อสรุปรวมง่ายๆ ได้อย่างนี้ก็เรียกว่าเราก็พอใจในอริยสัจ ๔ เมื่อเห็น ว่าสภาวะของโลกทั้งหมดเป็นทุกข์ เอากันง่ายๆ ชาติปิ ทุกขา ความเกิดเป็นทุกข์ ชะราปิ ทุกขา ความแก่เป็นทุกข์ มะระณัมปิ ทุกขัง ความตายเป็นทุกข์ โสกะปะริ เทวะทุกขะโทมะนัสสุปายาส ความเศร้าโศกเสียใจเป็นทุกข์ และความพลัดพรากจากของรักของชอบใจเป็นทุกข์ ความจริงข้อนี้มันเป็นของไม่ยาก แล้วก็ใช้ปัญญาพิจารณาดูสักนิดซิว่า ไอ้อะไรที่มันเป็นทุกข์ ความเกิดเป็นทุกข์มันเป็นทุกข์ยังไง ขณะที่เราจะเกิดเรา อาจจะไม่รู้ ขณะที่นอนอยู่ในท้องแม่ท้องพ่อเราอาจจะไม่รู้ แต่ความจริงมันทุกข์ อยู่ในท้องแม่อีตอนนั้นถ้าแม่กินของร้อนจัด ร้อน เดือดร้อนเป็นทุกข์ กินของ เผ็ดจัด เปรี้ยวจัด เค็มจัด เดือดร้อน เป็นทุกข์ แม่ใช้กำลังกายเคลื่อนไหวมากเกินไปเป็นทุกข์ อยู่ข้างในมันเหนื่อยถูกเหวี่ยงไปเหวี่ยงมาแม่เดินแรง ๆ วิ่งแรง ๆ นี้ มันก็เป็นทุกข์ ต่อมาเมื่อร่างกายโตขึ้นมา เมื่อร่างกายโตขึ้นมาแล้วเหยียดขาเยียดแข้งเหยียดขาไม่ไหวนั่งคุดคู้อยู่ในท้องแม่เป็นทุกข์ มันจะเมื่อยก็เมื่อย มันจะปวดก็ ปวด มันก็เหยียดไม่ได้มันก็เป็นทุกข์ ถ้าไม่เข้าใจว่ามันเป็นทุกข์ ว่างๆ ลองนั่งกอดเข่าเล่นโก้ๆ ซัก ๓ ชั่วโมง แบบคนที่อยู่ในท้องนั่งคุดคู้เอาเข่ายันเข้ามาถึงอก เอาแขนรัดเข้าไว้ อย่างนี้ลองนั่งพิจารณาดู แล้วอยู่ในท้องแม่เป็นเดือนๆ แบบนี้มันจะทุกข์ขนาดไหน เราจะมีทุกขเวทนาใดๆ ท่านผู้เป็นแม่ก็ไม่ทราบ เด็กที่ต้อง ตายในท้องเสียนับไม่ถ้วน ถึงว่ามารดาบิดามองไม่เห็นทุกข์ของลูกภายในว่าจะมีโรคภัยไข้เจ็บอะไรบ้าง ในขณะที่เกิดมันข้างในมันเป็นทุกข์ ถ้ามองไม่เห็น ออกมาจากครรภ์มารดา ขณะที่อยู่ในครรภ์มารดานี้มันก็ทุกข์ ออกมาแล้ว อยู่ในครรภ์มารดาแล้วความอบอุ่นจากไฟธาตุของร่างกายมารดา ออกมากระทบกับ อากาศใหม่ๆ เกิดการแสบตัวเสียงร้องจ้าปรากฏนั่นแสดงว่ามันทุกข์หนัก เจ็บแสบทั้งตัวมันก็เป็นทุกข์ พอออกมาเป็นเด็กขี้ตรงนั้น เยี่ยวตรงนั้น มันเลอะเทอะ ไปหมด เด็กก็มีความรู้สึกเหมือนกับคนธรรมดา ในการสกปรกโสโครกอย่างนั้นมันทนไม่ไหวถึงได้ร้องออกมา แสดงถึงความทุกข์ ถ้าจะหิวอาหาร ต้องการ จะกินอาหาร แม่ก็ยังไม่รู้จะต้องร้องออกมาแล้วเขาถึงจะรู้ว่าหิว มันหิวจนทนไม่ไหวจึงต้องร้อง นี่มันก็เป็นอาการของความทุกข์ รวมความว่าเกิดเป็นทุกข์ เมื่อเกิดขึ้นมาแล้วหาอะไรเป็นสุขไม่ได้ บอกอารมณ์สั้นๆ ไปว่าความหิว ความกระหายทุกวันนี้เป็นสุขหรือเป็นทุกข์ ความป่วยไข้ไม่สบายทุกวันนี้ ปรากฏมันเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ บางครั้งมีความปรารถนาไม่สมหวังมันมีความสุขหรือความทุกข์ อาการปวดอุจจาระ ปัสสาวะมันสุขหรือมันทุกข์ นี่แหละทุกข์ ถ้ามันจะตายขึ้นมาล่ะ มันสุขหรือมันทุกข์ นี่แล้วก็นั่งคิดเอากันไปตามความเป็นจริง ใช้ปัญญานิดเดียวนี่มันก็เห็นว่าทุกข์ แต่คนมีตากะทู้ หูกระทะเท่านั้นเป็น พวกพหูรูดไม่ใช่พหูสูต ถ้าพหูสูตนั้นก็เขารู้ทุกข์กันมานานแล้ว นี้เมื่อทุกข์มันเกิดขึ้นมาอย่างนี้จะนั่งภาวนาเวลานี้ให้มันหมดน่ะมันเกินเวลา แล้วก็ไม่มีความจำ เป็น ทุกคนมันมีทุกข์อยู่แล้วถ้าใช้ปัญญานิดเดียวก็มองเห็น ทีนี้ก็ไปนั่งว่าทุกข์มันมาจากไหน นี่เราพอใจมองความทุกข์ ฉันทะ ทุกข์มันก็มาจากความอยากที่เรียกกันว่าตัณหา อยากอะไรอยากรักในเพื่อนใน เพศตรงกันข้าม อยากรวย อยากโกรธ อยากหลงว่านั่นเป็นของกู นี่เป็นของกู มันทุกสิ่งทุกอย่างเป็นของกูไปหมด นี่อาศัยความอยากที่กล่าวมานี้แล้วมันเป็น ปัจจัยให้เกิด เพราะว่ายังติดความอยากอยู่เพียงใดเราก็ต้องเกิดมาหาความทุกข์ ในเมื่อเรามีความอยากอยู่มันทุกข์ เรายังขืนอยากต่อไปเราก็หาความสุขไม่ได้ ตอนนี้ทำยังไงก็หาทางทำลายความทุกข์ ทำลายเหตุของความทุกข์คือความอยาก อันที่ ๑ อยากรัก แหมทำลายยากเหลือเกิน อยากรวยมันอยากมาเสียนานแล้ว ทำลายยาก เพราะงั้นอยากโกรธอยากพยาบาทก็ทำลายยาก อยากหลงว่านั่นเป็นของเรา นี่เป็นของเราทำลายยาก ทำไมจึงว่ายากก็เพราะว่ามันติดใจมานานแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเกิดขึ้นมาแล้ว พ่อแม่ปู่ย่าตายายนี่แหละสำคัญนัก ส่งเสริมให้ลูกหลานทั้งหลายสร้างความทุกข์อยู่ตลอดเวลา

คุณธรรม 4 ประการ

พรหมวิหาร วิหาร แปลว่า ที่อยู่ พรหม แปลว่า ประเสริฐ คำว่า พรหมวิหาร หมายความว่า เอาใจจับอยู่ในอารมณ์แห่งความประเสริฐ หรือเอาใจไปขังไว้ใน ความดีที่สุด ซึ่งมีคุณธรรม 4 ประการ คือ •เมตตา •กรุณา •มุทิตา •อุเบกขา คุณธรรม 4 ประการนี้ นอกจากความเป็นมนุษย์ผู้เประเสริฐแล้ว ยังเป็นอานิสงส์ความสุขแก่ผู้ปฏิบัติถึง 11 ประการ ดังนี้ 1.สุขัง สุปฏิ นอนหลับเป็นสุข เหมือนนอนหลับในสมาบัติ 2.ตื่นขึ้นมีความสุข ไม่มีความขุ่นมัวในใจ 3.นอนฝัน ก็ฝันเป็นมงคล 4.เป็นที่รักของมนุษย์ เทวดา พรหม และภูติผีทั้งหลาย 5.เทวดา พรหม จะรักษาให้ปลอดภัยจากอันตรายทั้งปวง 6.จะไม่มีอันตรายจากเพลิง สรรพาวุธ และยาพิษ 7.จิตจะตั้งมั่นในอารมณ์สมาธิเป็นปกติ สมาธิที่ได้ไว้แล้วจะไม่เสื่อม มีแต่จะเจริญยิ่งขึ้น 8.มีดวงหน้าผุดผ่องเป็นปกติ 9.เมื่อจะตาย จะมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ 10.ถ้ามิได้บรรลุมรรคผลในชาตินี้ ผลแห่งการเจริญพรหมวิหาร 4 นี้ จะส่งผลให้ไปเกิดในพรหมโลก 11.มีอารมณ์แจ่มใส จิตใจปลอดโปร่ง ทรงสมาบัติ วิปัสสนา และทรงศีลบริสุทธิ์