Showing posts with label อุดมมงคล. Show all posts
Showing posts with label อุดมมงคล. Show all posts

Sunday 3 June 2012

อุดมมงคล

ปฏิรูปเทสวาโส จ เอตมฺมํคลมุตฺตมํ อันนี้เป็นมงคลที่ ๔ การอยู่ในประเทศที่สมควร จัดว่าเป็นอุดมมงคล อัน นี้ เห็นจะว่ากันอย่างย่อ ๆ คำว่าประเทศอันสมควรนี่ ไม่ใช่ประเทศเจ๊ก ประเทศไทย ประเทศแขก ประเทศมอญ ประเทศลาว ไม่ใช่ยังงั้น ประเทศที่สมควรก็คือ ในสถานที่นั้นมีบัณฑิตอยู่นั่นเอง มีบุคคลที่เราควรบูชาอยู่นั่นเอง ถ้าเราอยู่ในที่นั้นได้ ควรอย่างยิ่ง เป็นที่อยู่ที่สมควรเพราะเราปราศจากโทษ คือว่าท่านผู้เป็นบัณฑิต ท่านผู้ทรงความดี ท่านจะไม่แนะนำให้เราทำความชั่ว เมื่อเราอยู่กับท่านอยู่ใกล้ท่าน เราปฏิบัติตามท่านเราก็มีความสุข ทีนี้ จะหาว่าที่ไหนเป็นประเทศที่สมควร ใครสมควรก็จะต้องไปพูดกันทำไมเพราะพูดกันมากแล้วนี่ ถึงบุคคลที่ควรบูชา ถึงบุคคลที่เป็นบัณฑิต ถ้าสถานที่ใดก็ตามมีบัณฑิตอยู่ที่ไหน สถานที่นั้นชื่อว่าเป็นประเทศอันสมควร มงคลข้อที่ ๔ นี่ ขอผ่านไป มงคลที่ ๕ "การทำบุญไว้ในกาลก่อน" ทีนี้มาถึงมงคลข้อที่ ๕ ปุพฺเพจกตปุญฺญตา เอตมฺมํคลมุตฺตมํ การทำบุญไว้ในกาลก่อนเป็นอุดมมงคล ท่านว่ายังงั้นนะ นี่มงคลข้อที่ ๕ ท่านว่ายังงี้นี่ คนที่มีบุญที่ทำไว้แล้วในกาลก่อน จัดว่าเป็นอุดมมงคล เรามาว่ากันถึงคำว่าบุญเสียก่อน บุญแปลว่าอะไร อันนี้ก็คือจะพูดให้ฟัง บุญ แปลว่าเหตุของความสุขหรือปัจจัยของความสุข หรือว่าตัวของความสุขก็ได้ ถ้าเราทำอะไรก็ตาม ทำแล้วมันเกิด ความสุข สิ่งนั้นเราเรียกกันว่าบุญ อันนี้สมเด็จพระสังฆราชวัดบวร ฯ จะไม่ใช่กรมหลวงชินวรนะ ต่อมาอีกองค์ชื่ออะไรจำไม่ได้เสียแล้ว ท่านเคยแปลคำว่าบุญ แปลว่าจิตสะอาด แหม ท่านแปลสวยจริง ๆ สมเด็จพระสังฆราชองค์นี้ แต่ว่าองค์ไหนท่านจะแปลมาก่อนไม่ทราบ วันนั้นบังเอิญไปฟังวิทยุเข้า ท่านเทศน์ ท่านบอกว่าบุญนี่ก็คือจิตสะอาด ฉะนั้นเมื่อเรารู้ว่าบุญ แปลว่าจิตสะอาด สมเด็จพระผู้มีพระภาคตรัสว่า เราเคยทำจิตสะอาดมาแล้วในกาลก่อน จัดว่าเป็นอุดมมงคล แหม นี่สำคัญมาก ๆ การทำจิตสะอาดทำยังไงล่ะ ถ้าทำสูงเกินไปยังไม่ได้ เพราะมงคลข้อนี้ยังเป็นมงคลชั้นต่ำ พระพุทธเจ้าให้ค่อย ๆ ก้าวขึ้นไป การทำจิตสะอาด จะไปนั่งซ้ำกับพรหมวิหาร ๔ ก็จะหาว่าตาเถรคนนี้ไม่เป็นเรื่องไม่มีแยกเสียบ้างมันมีแค่นั้นน่ะรึ เขาจะว่า ยังงั้น แต่ความจริงพรหมวิหาร ๔ นะดีที่สุดอยู่แล้ว ยอดของความดียอดของความสะอาดของจิต ตานี้ ไม่ใช่จะอวดเบ่ง เรามานั่งช่วยกันคิดว่า ปุพฺเพจกตปุญฺญตา การที่เราสร้างความดี ทำความสะอาด ทำสิ่งที่เป็นบุญไว้ในกาลก่อนที่จัดว่าเป็นอุดมมงคลมีความสุขมันเป็นยังไง มานั่งพูดให้ฟัง พูดให้ฟังสักนิดหนึ่งเรา มีจิตประกอบไปด้วยความเมตตา และกรุณา เรามีความรัก เรามีความสงสารเมื่อเรารักเราสงสาร ถ้าเห็นเขามีความทุกข์เราก็ให้ทานคือเอาของไปให้ เอาเงินไปให้สงเคราะห์ด้วยการช่วยเหลือเป็นแรงงาน หรือให้ความแนะนำกับบุคคลที่ได้รับความคับแค้น ให้เขามีความสุข ทีนี้การที่เราให้เขาอย่างนี้ การสงเคราะห์เขาอย่างนี้ ถามกันจริง ๆ เถอะมันเป็นความดีหรือความชั่ว เอ้า เราไปนั่งคิดถึงคนอื่น มันมองไม่เห็นก็มานั่งคิดถึงตัวเรา ว่าถ้าเราได้รับการสงเคราะห์แบบนั้นบ้าง เราจะเกลียดคนสงเคราะห์ หรือว่าเราจะรักคนสงเคราะห์ นี่ถ้าเราไม่พูดกับคนบ้าหรือคนเมาก็จะพากันตอบเหมือนกันว่า คนที่สงเคราะห์เรา เราเกลียดเขาไม่ได้หรอก เราต้องรัก เพราะว่าเรามีความสุข เรามีชีวิตยืนยาวอยู่ได้เพราะเขาเป็นปัจจัย เขาเป็นผู้มีคุณอย่างนี้ ก็ชื่อว่าปุพฺเพจกตปุญฺญตา เอากันแค่นี้ก็แล้วกัน ไม่ต้องมาก ยกเป็นตัวอย่างแต่ความดีสั้น ๆ เพราะยังเป็นมงคลต่ำ ๆ เป็น อันว่าเราเป็นนักสงเคราะห์อย่างที่เขาตั้งนักสังคมสงเคราะห์กัน สังคมสงเคราะห์ ถ้าสงเคราะห์จริง ๆ ไม่หวังผลตอบแทน เป็นคุณหญิงคุณนายเป็นเจ้าคุณกันละก็ อย่างนี้จัดว่าเป็นปุพฺเพจกตปุญฺญตา หรือจัดว่าเป็นความดี ถ้าทำประเภทนี้หวังจะได้ผลตอบแทน หวังจะได้ยศฐาบรรดาศักดิ์ รับการสรรเสริญเยินยอ ใช้ไม่ได้ หรือให้คะแนนไม่ได้ ถ้าจะให้คะแนนก็ให้สักห้าพันสูญ เพราะการทำประเภทนั้น ไม่ต้องการทำเพื่อความหวังดีกับคนอื่น ทำเพื่อหวังผลให้ตนเป็นผู้เลิศ ใช้ไม่ได้ ยังงี้เขาไม่ใช้กัน ตานี้ การสงเคราะห์ด้วยการไม่หวังผลในการตอบแทน สงเคราะห์ให้เขามีความสุขชื่อว่าการทำบุญไว้ในกาลก่อน หมายความว่าเมื่อวานนี้ก็แล้วกัน ไม่ต้องเอากาลก่อนชาติก่อนอะไรหรอก เมื่อวานนี้ เราให้ทานกับสุนัขไว้ เราให้ทานกับคนขอทานไว้ เราให้ทานกับชาวบ้านที่ขาดฟืนขาดไฟขาดอาหารบ้านใกล้เรือนเคียง นี่เป็นปุพฺเพจกตปุญฺญตา เราเคยยกมือไหว้บุคคลที่มีอายุแก่กว่า ที่มีวัยวุฒิสูงกว่า มีคุณวุฒิสูงกว่า มีชาติวุฒิสูงกว่า เราเคยแสดงความเมตตาปรานีกับเด็กเมื่อวานนี้เอง เมื่อวานนี้ก็ถือว่าในกาลก่อนเหมือน กัน ตานี้พอมาวันนี้เข้า เราไปเจอะคนพวกนั้นเข้าไม่มีใครเขาประกาศตนเป็นศัตรูกับเรา เขาก็แสดงความเป็นมิตรยิ้มแย้มแจ่มใส แสดงความเคารพ แสดงความขอบใจ เราก็มีความสุขใจอย่างนี้ จัดว่าเป็นอุดมมงคล นี่ว่ากันง่าย ๆ แบบนี้ มันจะได้ไม่ยาว ฉะนั้น การสร้างความดีไว้ในกาลก่อน ที่เราเกิดมาเป็นคนได้ก็เพราะอาศัยการสร้างความดีไว้ในกาลก่อนคือว่าคนที่จะ เกิดเป็นคนขึ้นมาได้ ๑. เคยมีศีลห้า ต้องมีศีล ๕ บริสุทธิ์ หรือเคยมีกรรมบถ ๑๐ บริสุทธิ์ หรือบริสุทธิ์บ้าง ไม่บริสุทธิ์บ้าง เป็นจังหวะจะโคน เป็นครั้งเป็นคราว นี่เราจึงมาเกิดเป็น คน มีอาการ ๓๒ ครบถ้วนได้ ที่เรามามีผ้าผ่อนท่อนสไบมีทรัพย์สิน มีบ้านเรือนโรง มีข้าวกิน มีมากมีน้อยไม่สำคัญ พอมีอยู่บ้างก็เพราะอาศัยการทำความดีไว้ในชาติก่อน คือการให้ทาน คนไหนให้ทานมาก คนนั้นก็มีทรัพย์มาก คนไหนให้ทานน้อย คนนั้นก็มีทรัพย์น้อย คนไหนให้ทานกับท่านที่มีความบริสุทธิ์มาก คนนั้นก็มีทรัพย์มาก มีความสุขมาก คนไหนให้ทานแก่ท่านที่มีความบริสุทธิ์น้อย คนนั้นก็มีทรัพย์น้อย มีความบริสุทธิ์น้อย เอาไงกันแน่ ให้มาก แต่ให้กับคนเลวอานิสงส์มันก็น้อย ให้น้อยแต่ให้กับท่านที่เป็นคนดีก็มีความดี มีอานิสงส์มาก ทีนี้ ความดีที่ทำไว้ในกาลก่อน ความจริงจะปิดฉากเสียแล้วซี พูดไปพูดมา ก็นึกขึ้นมาได้ ว่าในพระธรรมบทขุททกนิกาย องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาท่านตรัสว่า พระพุทธกัสสปท่านเคยเทศน์ ไว้อย่างนี้ว่า คนใดบริจาคทานด้วยตนเอง แต่ไม่ชักชวนบุคคลอื่น คนนั้นเกิดไปในชาติต่อไป มีทรัพย์สินสมบัติมากแต่ไม่มีพวกพ้อง บุคคลใดชักชวนบุคคลอื่น แนะนำบุคคลอื่นให้ให้ทาน แต่ตนเองไม่ทำ เกิดในชาติต่อไปมีพวกมีพ้อง แต่ตนเองเป็นคนจน บุคคลใดให้ทาน ด้วยตนเองด้วย แล้วก็ชักชวนบุคคลอื่นให้ให้ทานด้วย บุคคลนั้นเกิดไปในชาติต่อไป มีทรัพย์สินมากด้วยแล้วก็มีพวกพ้อง พี่น้องบริวารมาก บุคคลใดไม่ให้ทานด้วยตนเองด้วย ไม่ชักชวนบุคคลอื่นด้วยในการให้ทาน เกิดในชาติต่อไปเป็นคนยากจนด้วย แล้วก็หาพวกพ้องไม่ได้ด้วยนี่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า พระพุทธเจ้าอีกองค์หนึ่ง คือพระพุทธกัสสปท่านตรัสไว้อย่างนี้ แล้วองค์สมเด็จพระมหามุนีก็ทรงรับรองตามนั้นพวกเราที่เกิดมาในโลก ที่เป็นคนขึ้นมาได้อย่างนี้ก็เพราะอาศัยความดีในชาติก่อน เมื่อกี้นี้พูดแล้วนี่ ว่าความดีเมื่อวาน นี่ย่องเข้ามาเล่นชาติก่อนกันเสียหน่อยเป็นยังไงเพราะอาศัยมีศีลห้าและมี กรรมบถ ๑๐ เราจึงเป็นคน เป็นมนุษย์ เรามีทรัพย์สินได้ก็เพราะอาศัยการบริจาคทาน ที่เรามีเพื่อนฝูง เรา มีบริวารก็เพราะการชักชวนกันสร้างความดีที่เรามีปัญญาคิดอะไรต่ออะไร ออกอย่างนี้ก็เพราะเราเคยอาศัยใช้ปัญญายอมรับนับถือกฎของความดี นี่เป็นอันว่าพวกเราเข้ามาเจอะความสุข คือเป็นมนุษย์ได้บริบูรณ์สมบูรณ์ ตาไม่บอด หูไม่หนวก แขนไม่ขาด หูไม่แหว่ง ปากไม่แหว่ง หรืออวัยวะสมบูรณ์ ทุกอย่างก็เพราะอำนาจของศีล อำนาจของกรรมบถ ๑๐ เรามีกินมีใช้ก็เพราะอำนาจทานบารมี เรามีสติปัญญาดีเท่าที่เราจะพึงมี คือรู้จักภาษาคนได้ รู้จักคิดได้ รู้จักสร้างตัวได้ สั่งสมความดีมีได้ หาได้ ก็เพราะอาศัยการยอมรับนับถือกฎของความดีตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า นี่เป็นอันว่าเรามีความสุขกัน แล้วความสุขตามอัตภาพเพราะอาศัยความดีประเภทนี้มีมาในกาลก่อนตานี้ มาถึงชาตินี้น่ะ เราจะทำลายความดีหรือจะสร้างความดีต่อ เพราะว่าถ้าเรายังไม่ถึงซึ่งพระนิพพานเพียงใดแล้ว ท่านทั้งหลายมันยังต้องเกิด ถ้าเราจะเกิดไปข้างหน้าละ เราจะยอมเป็นคนจนหรือว่าเราจะอยากเป็นคนรวย เราจะเป็นคนหูแหว่งจมูกวิ่น เป็นคนอวัยวะไม่สมบูรณ์ หรือเราจะต้องการเป็นคนมีอวัยวะสมบูรณ์ เราอยากจะเป็นคนมีสติปัญญา หรืออยากเป็นคนโง่ เอาเลือกกัน ๓ อย่าง เลือกกันเอาตามชอบใจ ตานี้จะมีใครที่ไหนล่ะ ใครเขาอยากจะมานั่งเป็นคนจน ไม่มีหรอก หาไม่ได้ หรือจะย่องไปมีที่ไหนบ้างก็ไม่รู้นา คนพูดไม่ใช่สัพพัญญูวิสัย เอาแล้ว ย่องเข้ามาใช้ภาษาบาลีกันอีกแล้ว คำว่าสัพพัญญู แปลว่ารู้ทุกอย่างหรือว่ารู้หมด เช่น พระพุทธเจ้า นี่คนพูดนี่ไม่ได้รู้ตามพระพุทธเจ้า ก็เลยเดา ๆ เอา ว่าคนทุกคนที่เกิดมาใน โลกไม่มีใครอยากเป็นคนจน ถ้าบังเอิญจะมีใครเขาอยากเป็นคนจนกันบ้างละขอโทษด้วยนะ ว่าเจ้าคนพูดนี่มันโง่เกินไป แล้วยอมรับว่าตัวนี่โง่ ตานี้ เมื่อเราไม่อยากจะจน ก็ถอยหลังลงไป ว่านี่เรามีกินมีใช้ได้เพราะการให้ทาน การสงเคราะห์ ทีนี้ต่อไปชาติหน้า ถ้าเราอยากจะรวยอีก เอาให้มันรวยกว่านี้รวยแค่นี้มันมีการบกพร่องอะไรบ้าง เราเห็นบุคคลอื่นเขามีความสุขมากกว่าเรา เพราะมีทรัพย์สินมากกว่าเรา มีทุกสิ่งทุกอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ นี่แสดงว่าชาติก่อนเราเสียท่าเขานี่ เราทำอะไรไม่ได้ครบ มาชาตินี้เรารู้ตัวแล้วนี่ ไม่ได้การ ชาติหน้าต้องไม่ยอม แพ้ยายคนนั้น ตาคนนั้น ต้องเอามันให้ครบ แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาให้ทาน แล้วก็การให้ทานนี่ให้แค่พอเหมาะพอดีนะ อย่าให้เพื่อเป็นการเบียดเบียนตัวเอง คืออย่าให้เป็นการเกินวิสัยเรียกว่าทำไปแล้วเราไม่เดือดร้อน ไม่ใช่เรามีบาทแล้วให้หมดบาท มีบาทไม่ใช่ให้ ๑ สลึง ต้องดูก่อนว่าความจำเป็นอะไรมันมีบ้าง ที่เราจะต้องใช้ทรัพย์สินทั้งหลายเหล่านั้น สิ่งที่เราให้ก็คือนอกเหนือจากความจำเป็น มันเป็นเงิน ปลอด นี่ การที่พระพุทธเจ้าท่านทรงแนะนำพระพุทธเจ้าหรือเปล่าก็ไม่รู้ หรืออีตาคนนี้พูด แต่พระพุทธเจ้าท่านพูดมานี่ก็พูดตามไป ท่านทรงแนะนำว่าเราช่วยกันให้ทาน นี่พวกบรรดาหัวนอกรีตนอกรอยก็ว่าเอ้อ ถ้าสอนกันแบบนี้ ก็สอนให้ชาวบ้านขี้เกียจละซี คนอื่นไม่ต้องทำมาหากินหรอก คอยรับทานจากบุคคลผู้ให้ทาน ถ้าคิดอย่างนั้นก็เป็นการผิดถนัด การให้ทานน่ะเป็นการสร้างมิตรนะ ไม่ใช่เป็นการสร้างศัตรู แล้วจะไปรู้กันในตอนให้ทานเราให้ทานจัดเป็นสังคหวัตถุ เป็นการเชื่อมความรักซึ่งกันและกัน ช่วยส่งเสริมซึ่งกันและกันให้มีความสุข อย่างนี้ ถ้าต่างคนต่างมีจิตคิดแบบนี้ ก็เป็นการช่วยกันสร้างชาตินั่นเอง เพราะคนทั้งชาติมีจิตใจเสมอกัน ชาติของเราก็จะเต็มไปด้วยความสุข เมื่อชาติทั้งชาติมีความสุข เราจะไปหาความทุกข์ตรงไหน หาความทุกข์ไม่ได้ เพราะไปไหนมีแต่มิตร มีแต่เพื่อน มีแต่คนยิ้มแย้มแจ่มใสเพราะผลของทานบารมีที่เราให้ นี่ว่ากันถึงชาตินี้นะ ถ้าชาติหน้ารวยใหญ่บอกไม่ถูก นี่ว่ากันย่อ ๆ ตรงนี้ก็แล้วกัน ตา นี้ ถ้าว่าเราเกิดมาในชาตินี้มันสวยไม่เท่าเขาเสียแล้วซี เขาประกวดหญิงงามชายงามกัน แหม เราจะเข้าไปประกวดกับเขาบ้าง ถ้าจะได้ที่ ๑ ก็น่ากลัวมันข้างท้าย ใครเดินมาท้ายแถวเจอะเราแน่ อย่างคนพูดนี่ สวยเหน่งเลย คนพูดนี่เวลานี้สวยเหน่ง ที่ไม่ใช้คำว่าสวยเช้งก็เพราะว่ามันไม่ตรงความหมาย สวยเหน่งก็คือหัวล้านเหน่ง สวยน่ะ นี่มันสวยสู้เขาไม่ได้ ถ้าเราอยากจะเป็นคนสวยทำยังไง เราก็ทำตัวเป็นคนมีเมตตาจิต ระงับการละเมิดศีลข้อที่ ๑ เข้าไว้ มีจิตใจประกอบไปด้วยเมตตา คนประเภทนี้เกิดไปทุกชาติ ๆ สวยบอกไม่ถูก สวยจริง ๆ คราวนี้ ถ้าเรามีทรัพย์สินไม่อยากจะให้ขโมยขโจรลัก ไม่อยากให้มีอันตราย เราก็ไม่ลักไม่ขโมยไม่ยื้อแย่งทรัพย์สมบัติของใคร เกิดมาชาติต่อไปมีทรัพย์สมบูรณ์ ไม่ต้องระวังของหาย ไม่มีอันตราย ใครจะเอาไฟเข้ามาจุดมันก็ไม่ติด น้ำก็ไม่ท่วม ลมก็ไม่พัดให้พัง ตานี้ เราต้องการให้คนที่อยู่ใต้บังคับบัญชา หรือว่าสามีภรรยาของเราอยู่ในโอวาท ไม่นอกเหนือใจ จะพูดอะไร จะสอนอะไร เชื่อฟังอยู่ตลอดเวลาอย่างนี้เราก็ระวังศีลข้อที่ ๓ กล่าวคือไม่ทำกาเมสุมิจฉาจาร ถ้าเราต้องการให้เราเป็นคนปากหวาน ปากหอม พูดกับใครใครก็ชอบ เราก็ไม่โกหกมดเท็จใคร ถ้าเราตั้งใจให้เป็น คนมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ มีความดี มีปัญญาดี เราก็ไม่ดื่มสุราและเมรัย และตั้งใจเคารพในความดี นี่ แหละ ท่านทั้งหลาย เพียงเท่านี้ ถ้าเราสร้างความดีไว้ให้ครบถ้วน ถ้าเราเกิดไปชาติหน้าเราก็จะมีความดี มีความสุขใจตามความประสงค์ เราก็จะเป็นคนสวยสดงดงามมีทรัพย์สมบัติ เยือกเย็น มีบุคคลใต้บังคับบัญชาว่านอนสอนง่ายอยู่ในโอวาท มีวาจาเป็นศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีใครคิดนอกเหนือคำสั่ง และมีสติสตังสมบูรณ์บริบูรณ์ นี่เราว่าชาติหน้านะแต่ความจริงถ้าเราทำความดีอย่างนี้ มันเริ่มให้ผลตั้งแต่ชาตินี้ เพราะว่าการให้ทานการสงเคราะห์นี่ ไป ที่ไหนก็มีคนยิ้มแล้ว มีคนชอบใจ มีคนรักแล้ว ตานี้ ถ้าเราเป็นคนมีความเมตตาปรานีไม่ฆ่าใคร ไม่ตีใคร ไม่ประทุษร้ายใคร ไม่กลั่นแกล้งใคร ถึงแม้ว่ารูปร่างไม่สวยเราก็เป็นคนสวย สวยเพราะอะไร สวยเพราะว่ามีคนรักเรามาก ไอ้คนสวยน่ะถ้ามีใครเขาเกลียด ความสวยก็ไม่มีความหมาย ทีนี้ ไปที่ไหนก็มีแต่คนชอบ เพราะเราเป็นคนใจดี ไม่ประทุษร้ายใคร ถ้าเราไม่ลักไม่ขโมยของใครนี่ แหม ท่านทั้งหลายไม่ต้องห่วง ไปที่ไหนมันก็มีแต่คนรักอีก เสน่ห์มันดีเหลือเกิน ถ้าเราไม่ละเมิดความรัก เป็นที่ไว้วางใจของคนอื่นในเรื่องกาเม จะไปนอนค้างอ้างแรมบ้านใครก็ได้ จะเดินไปกับลูกชายลูกสาวใครก็ไม่มีใครเขาว่า เพราะอะไร เพราะว่าความดีข้อนี้เป็นเหตุให้เกิดเมตตาจากบุคคลอื่น ถ้าเราไม่เป็นคนโกหกมดเท็จ พูดแต่ความเป็นจริง ไม่ว่าผู้ชายหรือผู้หญิง เขาชอบฟังเราพูดอยู่ตลอดเวลา แสดงว่าเราเป็นคนปากหอม มีเสียงเป็นเสน่ห์ ถ้าเราไม่กินเหล้าเมาสุรา เป็นคนมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ เราก็เป็นคนดีของสังคมแห่งความดี นี่ ขึ้นชื่อว่าความดีที่เราทำไว้เพื่อชาติหน้า ก็ให้ผลความดีตั้งแต่ชาตินี้ ถ้าทุกคนในประเทศของเราสร้างความดีอย่างนี้ทั้งหมด ท่านทั้งหลายที่เห็นว่าคำสั่งสอนทั้งหมดขององค์สมเด็จพระบรมสุคตนะ บั่นทอนประเทศชาติให้ทรุดโทรม หรือทำประเทศชาติให้เจริญ นี่ว่ากันถึงว่าคนรักประเทศชาติ เอ้า ลองมานั่งนึกดูกันอย่างที่พระเจ้าแผ่นดินท่านปล่อยฝนช่วยชาวบ้านน่ะ เสกน้ำเป็นน้ำมัน ทดลองอะไรต่อ ทดลองอะไรอย่างนี้น่ะ ทำให้ชาวบ้านที่ถูกความแล้งรบกวน ต้นพืชผักธัญญาหารตายวอดวายกันหมด แต่ว่าแทนที่จะปล่อยอย่างนั้น ปรากฏว่าพระเจ้าแผ่นดินเอาฝนไปให้ นี่พืชพันธุ์ธัญญาหารทั้งหลายงอกงาม เป็นการให้ทานอย่างหนึ่ง อย่างนี้ทำให้ประเทศชาติทรุดโทรม หรือว่าทำให้ประเทศชาติเจริญ พระเจ้าแผ่นดินองค์นี้เปลืองเงินชาวบ้าน หรือพระเจ้าแผ่นดินองค์นี้ช่วยเสริมชาวบ้านให้มีเงินมากขึ้น นี่เอากันจุดเดียว เอาตัวอย่างพระเจ้าแผ่นดิน เพื่อให้เห็นชัด ตานี้ ถ้าหากว่าพวกเราเป็นพสกนิกรของพระมหากษัตริย์ ในเมื่อพระองค์ทำใหญ่ได้ เราก็ทำมั่ง แต่ว่าทำเล็ก ช่วยกันทำคนละไม้คนละมือ คนละจุด ๒ จุด ทุกคนต่างช่วยกันทำคนละเล็กละน้อย มันก็ใหญ่ขึ้นมาเอง เป็นอันว่าความสุขที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าจะพึงได้ในชาติหน้านั้น ความจริงเราได้ตั้งแต่ชาตินี้ และองค์สมเด็จพระมหามุนีเวลาเทศน์ก็เทศน์แบบนั้นเหมือนกัน ว่าการทำความดี ไม่ใช่ว่าเราจะต้องการผลในชาติหน้า ให้ต้องการผลจริง ๆ ในชาตินี้ แต่เมื่อชาตินี้มันมีความดีมีความสุขแล้ว ความสุขนี้ก็มีปัจจัยให้ได้รับความสุขในชาติหน้าต่อไป ฉะนั้น องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาจึงตรัสว่า ปุพฺเพจกตปุญฺญตา การสร้างความดี คือว่าทำบุญไว้ในชาติก่อน จัดว่าเป็นอุดมมงคล